มาทำความรู้จักกับเพลง 'Without You' ของ Nilsson: เพลงใหม่อันดับ 99 วันนี้ (18 ธันวาคม) บนบิลบอร์ด Hot 100 ในปี 1971
ต้นฉบับเพลงนี้มาจากอัลบั้มชุดที่ 2 “No Dice”(1970) ของวง Badfingers แต่ไม่ดัง เพราะไม่ได้ตัดออกมาเป็นซิงเกิ้ล (ซิงเกิ้ลของอัลบั้มชุดนี้คือ “No Matter What”) และเมื่อ Harry Nilsson (เรียกสั้นๆว่า Nilsson) นำเอามาร้องจนดัง ใครๆก็คิดว่าเป็นเพลงของ Nilsson และนึกว่าเขาเป็นคนแต่ง เพราะเกือบทุกเพลงที่เขาร้อง เขาจะแต่งเอง งั้นเราไปทำความรู้จักกับเพลงนี้กันเลยดีกว่า
2 เพลงรวมเป็นเพลงเดียว
เพลง Without You แต่งโดยสมาชิก 2 คนของวง Badfingers คือ Peter Ham (นักร้องนำและมือกีต้าร์) กับ Tom Evans (มือเบส)
เริ่มจาก'ปีเตอร์'เขียนเพลง "If It's Love" ตอนนั้นพวกเขากำลังทำอัลบั้มกันอยู่ เขาบอกแฟนสาวว่าให้รอจนถึงช่วงเย็นแล้วจะพาออกไปเที่ยวด้วยกัน แต่จนแล้วจนรอดเขาก็ยังอยู่ในสตูดิโอและดูท่าคงไม่ได้ออกไปไหนแล้ว จึงบอกแฟนสาวว่าจะชดเชยเวลาให้ในภายหลัง แฟนสาวตอบโอเค แต่ปีเตอร์เห็นแววตาแฟนสาวจึงพูดว่า “Your mouth’s smiling but your eyes are not.” (ปากเธอยิ้ม แต่ตามันฟ้องว่าไม่) จึงเป็นที่มาของเนื้อเพลงท่อนนี้ “You always smile but in your eyes your sorrow shows” (เธอยิ้มตลอดแต่ตาคู่นั้นของเธอมองดูเศร้า) ส่วน'ทอม'นั้นมีท่อนฮุคกับเพลงที่ยังแต่งค้างไว้ร้องว่า "I cant' live if living is without you" ทั้งคู่จึงจับเอา 2 เพลงนี้มารวมกัน แล้วตั้งชื่อเพลงใหม่นี้ว่า “Without You”
ความสำเร็จไม่ได้หวานหอมเสมอไป
ทั้งคู่จบชีวิตด้วยการฆ่าตัวตาย สาเหตุส่วนหนึ่งมาจากความสำเร็จของเพลงนี้ Peter Ham ฆ่าตัวตายในปี 1975 เนื่องจากต้องเผชิญปัญหาทางการเงิน ซึ่งเกิดจากผู้จัดการวงเชิดเงินหนี ทำให้เขาหมดตัว และต้ดสินใจแขวนคอตาย 3 วันก่อนครบรอบวันเกิดปีที่ 28 ทิ้งภรรยาที่กำลังตั้งครรภ์กับลูกน้อยไว้ข้างหลัง
ส่วน Tom Evans เจอปัญหาเรื่องผลประโยชน์ลิขสิทธิ์เพลง Without You และโดนบีบคั้นอย่างหนักจากหนี้ฟ้องร้องเป็นจำนวนเงิน 5 ล้านดอลลาร์ เนื่องจากไม่ยอมออกทัวร์ตามสัญญา จบชีวิตตัวเองด้วยการแขวนคอตายในปี 1983
แต่พอย้อนเรื่องกลับไปในปี 1972 ทำให้ต้องประหลาดใจเป็นอย่างมาก เพราะเพลง Without You ของ Nilsson โด่งดังไปทั่วโลก ติดอันดับ 1 ในอเมริกา 4 สัปดาห์ และทำให้ Nilssonได้รับรางวัลแกรมมี่สาขา Best Male Pop Vocal ใครๆก็คิดว่าเส้นทางของ Nilsson กับวง Badfingers เจ้าของเพลง คงจะไปได้อีกไกล แต่ไม่เป็นเช่นนั้น มันกลายเป็นจุดเริ่มต้นของจุดจบในอาชีพของพวกเขาทั้งหมด....
จุดเริ่มต้นของความนิยมเพลงนี้
แล้วทำไม Nilsson นักร้องนักแต่งเพลงที่มีความสามารถคนนี้ถึงเอาเพลงนี้มาcover เรื่องราวเป็นอย่างนี้....มีอยู่ครั้งหนึ่งในปี 1971 Nilsson อยู่กับเพื่อนๆเล่นไพ่ในงานปาร์ตี้ เขาได้ยินใครบางคนเปิดเพลง Without You ของ Badfingers และมันติดอยู่ในหัวของเขาทั้งคืน ตอนแรกเขานึกว่าเป็นเพลงที่หลุดมาของ The Beatles เมื่อไปที่ร้านขายแผ่นเสียงถามหาเพลงนี้ ถึงรู้ว่าเป็นของศิลปินในสังกัด Apple ที่ชื่อ "Badfingers" เพลงออกมาในแนว bluesy rock ดิบๆ ไม่มีการปรุงแต่งอะไรมากมาย
เวอร์ชั่นของ Nilsson
เขาจึงสนใจอยากนำมา cover ร้องเอง โดยใส่ดนตรีเครื่องสายเพิ่มเข้าไป ตามคำแนะนำของ Richard Perryโปรดิวเซอร์เพื่อให้เข้ากับเสียงเศร้าโศกเสียใจของ Nilsson เป็นอย่างดี
เริ่มต้นด้วยเสียงเปียโนเบาๆ โดย Gary Wright (เจ้าของเพลงฮิต Dream Weaver ในปี 1976) ตามมาด้วยเสียงของ Nilsson เสียงที่เต็มเปี่ยมไปด้วยอารมณ์เศร้าเสียใจ จากการที่คนรักหนีจากไป เขาร้องจากระดับปกติไล่ไปจนถึงจุดสูงสุดที่ 1 รอบเสียง (octave) กับท่อนฮุคนี้ “I can’t live if living is without you” แล้วก็ลดลงมาในระดับปกติ แล้วเริ่มใหม่อีกครั้ง.....Nilsson ให้ความเห็นกับเนื้อท่อนนี้ว่าเหมือนคำเขียนในจดหมายลาตาย
การใช้ดนตรีเครื่องสายมีส่วนช่วยดึงอารมณ์ได้ดีเช่นกัน จึงไม่น่าแปลกที่เวอร์ชั่นนี้จะได้รับความนิยมสูงสุด เพลงขึ้นอันดับสูงสุดบนบิลบอร์ด Hot 100 ในวันที่ 19 กุมภาพันธ์ ปี 1972 อยู่อันดับ 1 นาน 4 สัปดาห์ เป็นซิงเกิ้ลขายดีอันดับ 4 ในปีนั้น ส่วนในอังกฤษก็ไม่น้อยหน้าอยู่อันดับ 1 นาน 5 สัปดาห์ เป็นผลงานเดียวของเขาที่อยู่ใน Top 20 ในอังกฤษ และเป็นผลงานเพลงฮิตของเขานับตั้งแต่ "Everybody's Talkin'" ในปี 1969
จุดเปลี่ยนสูงสุดลงต่ำสุด และความตาย
แน่นอนครับว่าเพลงนี้ทำให้ Nilsson ยิ่งโด่งดังขึ้นไปอีก แต่แทนที่อาชีพของเขาจะไปได้ไกลขึ้น กลับกลายเป็นความกดดัน ทำให้เขาสูญเสียความมั่นใจในการทำเพลงใหม่ๆออกมา เพราะไม่มีผลงานไหนอีกเลยที่จะเทียบเคียงกับความสำเร็จของเพลง Without You นั่นเอง
นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้ Nilsson ต้องติดเหล้า และเป็นช่วงที่เขาเริ่มสนิทกับ John Lennon ไปเที่ยวไหนด้วยกันตลอด ตรงกับช่วง “Lost Weekend” ของ John พอดี ซึ่งตอนนั้น John แยกอยู่กับ Yoko ในปี 1974 ซึ่งทั้งคู่( John กับ Nilsson)โดนนักข่าวตามล่าข่าว ออกข่าวในเชิงลบ จนเป็นไม้เบื่อไม่เบากับนักข่าวมาโดยตลอด
ทั้งคู่มีโอกาสได้ทำอัลบั้มด้วยกัน ชื่ออัลบั้ม “Pussy Cats” โดย John Lennon รับเป็นโปรดิวเซอร์ให้ ซึ่งหลายเพลงจะร้องแบบไม่ถนอมเสียงและการดื่มหนักมากของเขาทำให้เสียงของ Nilsson เกือบแหบแห้ง และหลังจากที่ John Lennon เพื่อนสนิทของเขาโดนยิงเสียชีวิต Nilsson ก็ห่างหายไปจากวงการพักใหญ่ๆ และการแต่งเพลงของเขาก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
พอมาถึงต้นยุค 90s Nilsson ตัดสินใจกลับมาทำเพลงอีกครั้งหลังจากหายไปสิบปีเต็ม เนื่องจากเหลือเงินอยู่ในธนาคารเพียง $300 พร้อมกับหนี้ท่วมหัว โดยติดต่อค่าย Warner Bros. Records แต่ถูกปฏิเสธ เขาจึงทำเองด้วยเงินทุนส่วนตัวและความช่วยเหลือของนักดนตรีคนอื่นๆโดยมี Mark Hudson เป็นโปรดิวเซอร์ อัลบั้มนี้มีชื่อว่า Papa's Got a Brown New Robe แต่ไม่ได้ออกวางจำหน่ายเพราะยังไม่ทันเสร็จเขาก็ด่วนจากไปเสียก่อน
ก่อนหน้านั้น Nilsson มีอาการหัวใจวายมาก่อนเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ปี1993 แต่รอดชีวิตมาได้ เขาเริ่มกดดันค่ายเพลงเก่าของเขา "RCA Records" เพื่อปล่อยขายผลงานเก่าๆของเขาในรูปแบบ Box-set (เปิดตัวในปี 1995 ในชื่อ “Anthology he worked on with RCA, Personal Best” ) หลังจากนั้นก็กลับมาบันทึกเสียงอัลบั้มของตัวเองต่อ (Papa's Got a Brown New Robe) แต่ต้องมาเสียชีวิตก่อนด้วยอาการหัวใจล้มเหลวเมื่อวันที่ 15 มกราคม ปี 1994 ที่บ้าน Agoura Hills รัฐแคลิฟอร์เนีย ขณะอายุได้ 52 ปี อัลบั้มชุดนี้ได้เอามาทำจนเสร็จในเวลาต่อมาโดยโปรดิวเซอร์เจ้าเก่าคนเดิม เพิ่งออกมาในปี 2019 แต่ใช้ชื่อใหม่ว่า "Losst and Founnd"
Mariah Carey สะดุดกับเพลง Without You แม้จะดังมาก
และมีเรื่องแปลกอีกเรื่องที่เหมือนมีการเขียนบทล่วงหน้าคือ Mariah Carey ได้ปล่อยซิงเกิ้ลเพลง Without You ออกมาในวันที่ 24 มกราคม หลังการเสียชีวิตของ Nilssonเพียง 9 วันและก็ดังทะลุฟ้าเช่นกัน แน่นอนว่ามีการเตรียมงานกันมาก่อนล่วงหน้า เพราะบันทึกเสียงกันในปี 1993
เพลงขึ้นถึงอันดับ 3 ป๊อบชาร์ตในอเมริกา แต่สิ่งที่สร้างความประหลาดใจให้เธอก็คือ เพลงนี้ไม่สามารถขึ้นถึงอันดับ 1 ได้ ทั้งๆที่เพลงก่อนหน้านี้ของเธอล้วนแต่ขึ้นถึงอันดับ 1 ต่อเนื่องกันมา 10 เพลง คละกันทุกหมวดใน Billboard... อาถรรพ์จริงๆสำหรับเพลงนี้ !
วี welove
18 December 2022 (#1: 21 Feb 2018/#2: 19 Dec 20)
ติดตามทางเพจ Facebook
ติดตามทางเว็บไซต์ welovechannel.info (
Comments