หลายวันก่อนได้อ่านเรื่องราวเพลง "Wind of Change" วันนี้เลยตื่นขึ้นมา ตั้งใจนำมาเขียนให้อ่าน เพราะรู้ว่า Scorpions เป็นวงขวัญใจชาวไทยอีกวงเมื่อหลายสิบปีก่อน ถ้าพร้อมแล้ว เราไปอ่านเรื่องราวของเพลงนี้กัน
เสียงผิวปากในตำนาน
ในปี 1991 (พ.ศ.2534) เหตุการณ์ทลายกำแพงเบอร์ลิน (Fall of the Berlin Wall) ทำให้เกิดเพลงฮิต “Wind of Change” ผลงานเพลงของวง Scorpions เพลงที่มากับเสียงผิวปากจนกลายเป็นสัญลักษณ์ของเพลง เราแทบจะนึกไม่ออกเลยว่า ถ้าไม่มีเสียงผิวปากนี้ เพลงนี้จะได้รับความนิยมมากมายเหมือนตอนนี้หรือไม่?
และรู้หรือไม่ว่า เกือบไม่มีเสียงผิวปากในเพลงนี้ นั่นเป็นเรื่องจริงที่เคยเกิดขึ้น จะเป็นอย่างไรนั้น ลองย้อนกลับไปถึงเรื่องราวในวันนั้นกันเลยครับ
จุดเริ่มต้น
เริ่มเรื่องในปี 1989 ตอนนั้นวง Scorpions กำลังทัวร์คอนเสิร์ตที่รัสเซีย เพื่อโปรโมทอัลบั้ม "Savage Amusement " (1988) ซึ่งถือว่าน่าตื่นเต้นมากสำหรับวงจากเยอรมันวงนี้ เพราะในอดีตกองทัพนาซีเยอรมันเคยถล่มโจมตีรัสเซีย จนไม่คิดว่าพวกเขาจะได้มีโอกาสมาเล่นที่นี่ได้อีก และก็นำมาซึ่งสิ่งดีๆที่เกิดขึ้นในทัวร์คอนเสิร์ตครั้งนี้..
Doc McGhee อดีตผู้จัดการวงเล่าให้ฟังว่า “ระหว่างที่พวกเรานั่งรถบัสกลับที่พักในคืนที่ 2 ของการแสดงที่มอสโคว์ Klaus Meine นักร้องนำผิวปากเหมือนกับมีเรื่องราวเพลงนี้อยู่ในหัว และวันถัดมาเขาก็ลุยแต่งเพลงนี้จนเสร็จสมบูรณ์”
และเมื่อวง Scorpions เตรียมทำอัลบั้มชุดที่ 11 “Crazy World” Klaus Meine จึงนำเสนอเพลงนี้ให้กับวง เขาเล่าให้ฟังว่า “จนถึงตอนนี้ผมแทบไม่ได้เขียนเพลงเลย ผมจดจ่ออยู่กับการเขียนเนื้อเพลงตลอดหลายปีที่ผ่านมา แต่กับเพลง "Wind of Change" ผมทั้งเขียนเพลงและแต่งทำนองครบจบเบ็ดเสร็จ”
Keith Olsen โปรดิวเซอร์อัลบั้มชุดนี้พูดถึงเพลงนี้ว่า “ผมมีเนื้อร้องเพลงนี้อยู่ในมือ มันทำให้ผมอ้าปากค้าง เพราะเนื้อหาช่างจับใจจับอารมณ์มาก ไม่ใช่เนื้อหาทางการเมือง แต่มันจริงใจมาก”
ไม่ได้ตั้งใจนำมาทำเพลง
ความจริงแล้วเสียงผิวปากที่ Klaus Meine นำมาใช้ คือวิธีการสื่อเมโลดี้ของเพลงให้กับเพื่อนๆในวงได้รับรู้ทำนองเพลง เพราะเขาไม่ใช่มือลีดกีต้าร์ Klaus เล่าให้ฟังว่า
“ทำนองเริ่มต้นของเพลง ผมเดาว่ามาจากการผิวปากของผม เพราะผมเล่นกีต้าร์แต่ผมไม่ใช่มือลีด ดังนั้นผมจึงแค่ลองผิวปากดู และมันก็ฟังดูเข้าท่า ในขณะที่สมาชิกคนอื่นชอบเพลงนี้กัน แต่พวกเขาไม่มั่นใจกับท่อนผิวปากนี้”
“The beginning melody, I guess I just whistled my way through it because I play guitar, but I’m not a lead guitarist, so I was just whistling, and it went down pretty cool.” - Klaus Meine
Keith Olsen โปรดิวเซอร์ เล่าว่า
“พวกเราลองใช้กีต้าร์มาแทนเสียงผิวปาก หรือแม้กระทั่งลองใช้คีย์บอร์ดดู ลองทำหลายวิธี แต่สุดท้ายไม่มีอะไรมาเลียนเสียงเมโลดี้ได้ดีเท่าเสียงผิวปาก”
Rudolf Schenker (มือกีต้าร์) เสริมว่า “พวกเรารู้สึกทันทีว่า พอเอาเสียงผิวปากออก มันเหมือนขาดอะไรบางอย่างไป”
“We noticed immediately that when the whistling was out of the song, the song lost something,” - Rudolf Schenker
เสียงผิวปากเจ้าปัญหา
สุดท้ายทางวงตัดสินใจใช้เสียงผิวปากในเพลงนี้ และเมื่อนำเสนอค่ายสังกัด พวกเขากลับไม่เอา!
Klaus Meine เล่าว่า “ผมจำได้ว่า A&R ของ Mercury Records จากนิวยอร์คโทรมาหาผม ก่อนจะปล่อยซิงเกิ้ลเพลงนี้ในอเมริกา เขาบอกว่าเขาชอบเพลงนี้มาก แต่ควรตัดเสียงผิวปากออก เพราะมันไม่เหมาะกับตลาดอเมริกา”
Doc McGhee ผู้จัดการวง เมื่อได้ทราบอย่างนั้น ถึงกับลั่นออกมาว่า “บ้าไปแล้ว! จะตัดเสียงผิวปากออกไม่ได้ นั่นมันทีเด็ดของเพลงเลยนะ” Rudolf Schenker ตัดบททันที “พวกเราจะเก็บเสียงผิวปากไว้ในเพลงเหมือนเดิม”
Klaus Meine รู้สึกมึนงงกับทาง Mercury Records มากที่ไม่ชอบเสียงผิวปากและให้ความเห็นว่า “มันฟังดูดีออก แม้แต่ John Lennon (ในเพลง Jealous Guy นาทีที่ 2.06) และ Axl Rose ก็เคยใช้เสียงผิวปากในเพลงของพวกเขา”
"Wind of Change" ความนิยมทั่วโลก
ผลที่ออกมายืนยันได้ว่า วงตัดสินใจถูก เพลง "Wind of Change" กลายเป็นปรากฏการณ์ทั่วโลก เพลงขึ้นอันดับ 1 ในยุโรปหลายประเทศเช่น เยอรมัน ฝรั่งเศส เนเธอร์แลนด์ และนอร์เวย์ ส่วนในอเมริกาขึ้นถึงอันดับ 4 กลายเป็นเพลงที่ดังที่สุดในอเมริกาของ Scorpions จวบจนปัจจุบัน
เป็นไงครับเรื่องราวที่เกือบทำให้เพลงอย่าง "Wind of Change" กลายเป็นเพลงธรรมดาที่ไม่มีอะไรน่าจดจำ ดีที่ทาง Mercury Records ไม่ใช้ไม้แข็งกับวง Scorpions เราถึงมีเพลงเพราะๆเกิดขึ้นบนโลกใบนี้อีกเพลง “Wind of Change”
ขอบคุณข้อมูลจาก Ultimateclassicrock
วี welove / 22 May 2023 (updated 2024)
ติดตามทางเพจ Facebook
ติดตามทาง Line
ติดตามทางเว็บไซต์ welovechannel.info
Comments