top of page
Cateม่วง.png

"One Way Or Another" เมื่อ Debbie Harry ไม่แคร์พวกโรคจิต..

อัปเดตเมื่อ 1 ส.ค.



วันนี้ (2 June)ในปี 1979 เพลง "One Way Or Another" เป็นเพลงใหม่ในช่วงเวลานั้น ได้ยินเพลงนี้เมื่อไร จะนึกถึงภาพวัยรุ่นดิ้นกันกระจาย เพลงเข้าชาร์ตบนบิลบอร์ด Hot 100 ที่อันดับ 69 แต่งโดยนักร้องสาวสวยรวยเสน่ห์ Debbie Harry กับมือเบส Nigel Harrison


เพลงที่ทำให้วงจากพังค์คลับในนิวยอร์คผงาดสู่สถานที่การแสดงสดทั่วทุกแห่งหนบนโลกใบนี้ และตอกย้ำความเป็นร็อคจิ๊กกี๋ก่อนสู่ยุค 80s ของ Debbie Harry เราไปติดตามว่าเบื้องหลังของความสำเร็จนี้ ใครเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง พร้อมกับการมาของเพลง "One Way Or Another" ที่ทำให้เพลงพั๊งค์กลายเป็นเพลงป๊อบที่โดดเด่น งั้นเราไปตามอ่านกันต่อเลยครับ


ถ้ามองย้อนกลับไป 2 ปีก่อนหน้านี้ วง Blondie แทบจะเป็นวงที่มีโอกาสน้อยที่สุดที่จะออกมาจากสภาพแวดล้อมพั๊งค์ที่ซอมซ่อของกรุงนิวยอร์คเพื่อมาเป็นวงชั้นนำในท้ายที่สุด เพราะดูเหมือนพยายามดันเอานักร้องสาวสวยผมบลอนด์มาเป็นจุดขาย ซึ่งในสายตาของคู่แข่งมองว่าพวกเขาเป็นตัวตลก เมื่อเทียบกับวงอย่าง Ramones, Television และวง Taking Heads ที่ประสบความสำเร็จนำหน้าไปก่อน


Mike Chapman ผู้เปลี่ยนแปลง Blondie

แต่ในท้ายที่สุด Blondie ก็ขยับเป็นวงแถวหน้าในกลุ่มจนได้ เพียงแต่ยังไม่สุดในตลาดอเมริกา แต่หลังจากการเข้ามาของ Mike Chapman โปรดิวเซอร์ชาวออสเตรเลีย พวกเขาก็ไปถึงฝัน แต่ไม่ใช่เฉพาะตลาดอเมริกา แต่ดังไปทั่วโลก


ไมค์ แชปแมนคือผู้ที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของวงแนว glam rock อย่าง The Sweet, Suzi Quatro และ Mud ในกลางยุค 70s


พวกเขานัดพบกันครั้งแรกที่โรงแรม Gramercy Park กรุงนิวยอร์ค ตอนนั้นไมค์รู้เลยว่าไม่ง่ายที่จะทำงานร่วมกับ Blondie ได้อย่างราบรื่น เพราะดูเหมือนพวกเขารู้ตัวว่า จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงทางความคิดครั้งใหญ่ภายในวง ไมค์มองว่าพวกเขาไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรเพลงถึงจะโดนใจคนฟัง พวกเขาเล่นดนตรีแบบที่ต้องการและมันก็ไปไม่ถึงไหน


(ภาพถ่ายของ Debbie Harry ในโรงแรม Gramercy Park กรุงนิวยอร์ค ในปี 1978)


ภาพของ Debbie Harry ตอนไมค์ได้เจอตอนนั้นดูเป็นหญิงสาวที่ “dark, silent and serious” (ลึกลับ เงียบ จริงจัง) ดูเหมือนเธอจะต่อต้านแนวความคิดของเขาอยู่ในใจ แต่สำหรับคนอื่นแล้ว พอจะเข้าใจว่าทั้งหมดนี้เขามีความมุ่งมั่นตั้งใจสร้างผลงานชิ้นเอกให้กับวง และไมค์ก็ต้องการให้ Chris Stein อยู่ข้างเขาด้วย เพราะดูเหมือนใครๆก็เกรงใจคริส เรื่องทั้งหมดจะไปได้ดีถ้าคริสเห็นด้วย


Chris Stein มือกีต้าร์และนักแต่งเพลงของวง Blondie เห็นด้วยที่ว่าไมค์เป็นผู้อยู่เบื้องหลังเพลงอันดับ 1 ของ Blondie หลายเพลง เขาช่วยขัดเกลาเพลง "One Way Or Another" เป็นการเชื่อมต่อพังค์กับป๊อบได้อย่างลงตัวด้วยเสียงร้องของเด็บบี้กับเสียงกีต้าร์ดิบๆ ทำให้ได้เพลงพั้งค์ที่ฟังดูเกรี้ยวกราด แต่ได้อารมณ์เพลงป๊อบที่ฟังดูโดดเด่น

“It definitely connects punk and pop, especially in the vocals and the raw guitars. It’s got the snarl of punk and the glossiness of pop.” - Chris Stein

Mike Chapman (แว่นดำ) กับวง Blondie

การบันทึกเสียง

Blondie บันทึกเสียงเพลงนี้ช่วงกลางปี 1978 ที่สตูดิโอ "Record Plant" กรุงนิวยอร์ค เพลงอัดแน่นด้วยความยาวเกือบ 3 นาทีครึ่งด้วยริฟฟ์กีต้าร์ที่เร็ว เสียงคีย์บอร์ด เบส กลองที่ผสมผสานกลมกลืน สอดแทรกด้วยเสียงออร์แกนหมุนวนและเสียงไซเรนรถตำรวจตอนท้ายเพลง ทำให้ย้อนให้คิดถึงต้นกำเนิดของการาจร็อคหรือพั๊งค์ร็อคปลายยุค 60s


ที่มาของเพลง/ความหมายของเพลง

Debbie เล่าว่า ชื่อเพลงนี้มันสาระวนอยู่ในหัวของเธอตอนซ้อมอยู่กับวง เรื่องราวเหมือนกับว่า ต้องใช้เวลามากในการแก้ปัญหาที่เธอเจอ คือพวกโรคจิตที่คอยติดตามเธอไปทุกที่ ซึ่งสำหรับเธอแล้วมันน่ากลัวมาก แต่เธอพยายามทำเพลงนี้ให้ดูไม่น่ากลัว ให้รู้สึกว่าเธอไม่ได้ตอบสนองคนพวกนี้ หรือไม่ได้ใส่ใจนั่นเอง นั่นคือกลไกของความอยู่รอดที่เธออยากแสดงออกมา


"You know, just shake it off, say one way or another, and get on with your life. Everyone can relate to that and I think that's the beauty of it." - Debbie Harry
(คุณรู้ไหม แค่สะบัดมันออกมา แล้วพูด "ไม่ว่าจะด้วยวิธีไหน" ชีวิตของเราก็ต้องไปต่อ ทุกคนสามารถเชื่อมโยงกับสิ่งเหล่านั้นได้ และฉันคิดว่านั่นเป็นความสวยงามของมัน)

มูลเหตุเรื่องนี้มาจากเรื่องของเธอสมัยอยู่ที่รัฐนิวเจอร์ซีในปี 1973 แฟนเก่าที่ทำงานในโรงงานเคมีมักจะอารมณ์ร้ายและดื่มเหล้าแทบทุกคืน จนเธอทนไม่ไหวต้องหนีออกจากนิวเจอร์ซี เพราะเขาสะกดรอยตามเธอ ตามติดและโทรจิกเธอตลอด และมักยืนดักรอเธออยู่แถวๆหน้าประตูบ้าน ใครเจอแบบนี้ก็คงทนไม่ไหวแน่นอน


แม้เรื่องราวจะออกมารูปแบบนี้ แต่ Chris Stein แฟนใหม่ของเด็บบี้ก็มองว่า หญิงสาวในเพลงนี้ไม่ใช่เหยื่อ แต่เป็นหญิงสาวที่มีพลังอำนาจในตัวเอง และก็ผ่านพ้นเรื่องราวนี้ได้ในที่สุด


บนตารางอันดับ

เพลงนี้เป็นเพลงที่ 2 ของวงที่เข้าชาร์ตบิลบอร์ด Hot 100 ต่อจากเพลงเพลงดังอย่าง "Heart Of Glass" ที่ติดอันดับ 1 เมื่อปลายเดือนเมษายนปีเดียวกันซึ่งทั้ง 2 เพลงมาจากอัลบั้มชุดที่ 3 "Parallel Lines" ซึ่งเป็นชุดที่ทำให้ Blondie เริ่มเป็นที่รู้จักในอเมริกาแบบก้าวกระโดด


เพลง "One Way Or Another" ขึ้นไปได้แค่อันดับที่ 24 แต่สิ่งที่น่าสนใจคือการนำเสนอภาพของนักร้องหญิงที่ดูแปลกใหม่ไปจากที่ผ่านมา เด็บบี้ดูมีเสน่ห์น่ามองชวนหลงใหล ในขณะเดียวกันก็ดูแข็งแกร่งพอๆกับศิลปินสาวอย่าง Poly Styrene หรือ Siouxsie Sioux


ส่วนในอังกฤษแม้ว่าเพลงนี้ไม่ได้ตัดออกมาเป็นซิงเกิ้ล แต่ก็ได้รับความนิยมและเป็นเพลงโปรดของใครต่อใครหลายคนที่นั่น สรุปโดยรวมเป็นเอกฉันท์ คนทั้งโลกยกให้เป็นเพลง signature ของ Blondie อย่างไม่ต้องสงสัย....เพลงใหม่วันนี้ในอดีต "One Way Or Another"


ขอขอบคุณข้อมูลจาก LouderSound


วี welove / 2 June 2021 (updated 2023)


ติดตามทางเพจ Facebook

ติดตามทาง Line

ติดตามทางเว็บไซต์ welovechannel.info

0 ความคิดเห็น
bottom of page