top of page
Cateม่วง.png
รูปภาพนักเขียนวี welove

เมื่อ Elvis ต้องมนต์สะกดของ Robert Plant แห่ง Led Zeppelin ในการพบกันครั้งแรกในปี 1974

อัปเดตเมื่อ 17 พ.ค.

การที่ Elvis Presley เคยเป็นสุดยอดของวงการเพลงในยุค 50s เมื่อก้าวย่างมาสู่ยุค 60s ทำให้ Elvis ต้องเจอแรงกดดันอย่างมากเมื่อกระแส "beatlemania"ได้รับการตอบรับอย่างดีจากคนอเมริกันและทั่วโลก ทำให้เอลวิสรู้สึกเหมือนโดนรุกล้ำ หรือโดนหยามถึงหน้าบ้านตัวเอง ซึ่งความจริงแล้ว The Beatles ไม่ได้คิดอะไรแบบนั้น เพราะเอลวิสเป็นไอดอลของพวกเขาสมัยวัยรุ่น



และเมื่อทั้ง 2 ฝ่ายได้เจอกันในปี 1965 เป็นช่วงเวลาที่ The Beatles กำลังดังต่อเนื่อง ส่วน Elvis ยังคงเป็นศิลปินที่ยิ่งใหญ่แม้จะไม่ร้อนแรงเท่า การพบกันของ Elvis กับ The Beatles จึงดูติดขัดไม่ค่อยราบรื่น และถูกเก็บเงียบเป็นความลับซึ่งดูผิดปกติเป็นอย่างมาก เห็นได้ชัดว่า Elvis ไม่ปลื้มวง The Beatles แต่กับวง Led Zeppelin วงจากเกาะอังกฤษเหมือนกัน Elvis กลับดูเหมือนถูกชะตามากกว่า โดยเฉพาะกับ Robert Plant ซึ่งเป็นที่มาของชื่อเรื่องที่จะเขียนให้อ่าน "เมื่อ Elvis ต้องมนต์สะกดของ Robert Plant"


Led Zeppelin ได้รับความนิยมสูงสุดตั้งแต่ต้นยุค 70s ส่วน Elvis Presley ยังคงยิ่งใหญ่บนเส้นทางการแสดงสดบนเวทีที่ลาสเวกัส ตามมาด้วยทัวร์คอนเสิร์ตทั่วอเมริกา แต่การพบกันของ 2 ผู้ยิ่งใหญ่นี้ กลับเป็นดูดี น่าประทับใจ สนุกสนานเป็นกันเอง ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น ผมจะเล่าให้ฟัง



เรื่องราวเกี่ยวกับวง Led Zeppelinในยุค 70s
Hammer of the Gods

การชมคอนเสิร์ต Elvis เป็นครั้งที่ 3

การพบกันของ 2 ผู้ยิ่งใหญ่เกิดขึ้นได้เพราะมีโปรโมเตอร์คนเดียวกันคือ Jerry Weintraub ผู้ซึ่งจองที่นั่งให้กับเหล่าสมาชิกเรือเหาะได้ชมคอนเสิร์ตของ Elvis อย่างใกล้ชิดที่ลาสเวกัสเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม ปี1974 และเตรียมให้ทั้ง 2 ฝ่ายได้พบปะกัน


อย่างไรก็ตาม Led Zeppelin เคยเข้าชมคอนเสิร์ตของ Elvis ก่อนหน้านั้นแล้ว ครั้งแรกในปี 1969 (11สิงหาคม) ที่โรงแรมอินเตอร์เนชั่นแนลในลาสเวกัส และอีกครั้งรอบบ่ายที่ Madison Square garden ในปี 1972 (10 มิถุนายน) แต่ครั้งนั้นพวกเขาไม่ได้เข้าพบ Elvis เป็นการส่วนตัว


วันเปิดตัว "Swan Song"

และเมื่อวันที่ 11พฤษภาคม ในปี1974 ทุกอย่างที่ไม่มีใครคาดคิดว่าจะเกิดขึ้น ก็กำลังจะเกิดขึ้น..


วันนั้นวง Led Zeppelin มาเปิดตัวเครื่องหมายการค้าของตัวเอง "Swan Song" (ก่อนหน้านี้พวกเขาสังกัดค่ายเพลง Atlantic Records นานถึง 5 ปี) เมื่อเสร็จจากงาน ทั้งหมดก็ย้ายไปชมการแสดงของ Elvis ที่ The LA Inglewood Forum ซึ่งอยู่ใกล้ๆกัน


Elvis Presley เป็นไอดอลของ Robert Plant และ Jimmy Page จิมมี่เพจเล่าว่าตอนสมัยเด็กเขาได้รับแรงบันดาลใจการเล่นกีต้าร์จากเพลง "Baby Let's Play House" ของ Elvis ในยุค 50s



ในหนังสือ "Hammer of Gods" ที่เขียนโดย Stephen Davis นักเขียนผู้ที่ติดตามเรื่องราวของวง Led Zeppelin เล่าให้ฟังว่า ความจริงแล้ว Elvis และ Led Zeppelin ได้ติดต่อกันก่อนที่โปรโมเตอร์จะทำการนัดหมายให้ด้วยซ้ำ


ทักทายกันต่อหน้าผู้ชม

ช่วงท้ายของการแสดง Elvis ขอให้ทีมงานส่องไฟไปยังผู้ชม หนึ่งในทีมงานสังเกตเห็น Robert Plant, John Bonham และ Jimmy Page นั่งอยู่ด้านล่างด้วย เขาจึงสะกิดบอก Elvis ตอนนั้นกำลังเริ่มเข้าสู่เพลง "Funny How Time Slips Away,” และ Elvis ร้องไปได้นิดเดียวก็หยุดร้องกระทันหัน แล้วหันไปคุยกับผู้ชมด้วยความรู้สึกประหม่าตื่นเต้นว่า

“Wait a minute, wait a minute, hold it…[laughs] If we can we start together, fellas, because, we’ve got Led Zeppelin out there, and Jimmy Darren, and uh, a whole bunch of people, and, let’s try to look like we know what we’re doing, whether we do or not… now, what were we doing?” ( เดี๋ยวก่อน เดี๋ยวก่อน ถ้ารอได้เราจะได้เริ่มพร้อมกัน เพราะตอนนี้มีวง Led Zeppelin, Jimmy Darren และอีกหลายคน ลองทำเหมือนรู้ว่าเรากำลังจะทำอะไร ทำหรือไม่ทำ แล้วตอนนี้เรากำลังทำอะไรอยู่? )

หลังคอนเสิร์ต Elvis เชิญวง Led Zeppelin กับ Peter Grant ผู้จัดการวงไปสังสรรค์กันต่อที่ห้องสวีทของเขาในโรงแรม ซึ่งตอนแรกคิดว่า น่าจะใช้เวลาพบปะคุยกันเพียง 20 นาที แต่สุดท้ายการพบกันครั้งนี้ยาวนานเกือบ 2 ชั่วโมง เป็นชั่วโมงแห่งความสุขอย่างแท้จริง



การพบกันครั้งแรกของทั้งคู่

Jimmy Page เล่าให้ฟังว่าเขารู้สึกอึดอัด ตอนที่ Elvis เดินเข้ามาที่ประตู เพราะ Elvis ทำตัวนิ่งดูมีฟอร์มเล็กน้อย ส่วน John Bonham มือกลองคุยกับ Elvis ถูกคอ (ทั้งคู่จากโลกนี้ไปใกล้ๆกันในปี 1980 และ 1977 ตามลำดับ)


Robert Plant เล่าเหตุการณ์ในวันนั้นว่า เขาและเพื่อนๆยืนคุยกับเอลวิส คุยเรื่องเหลือเชื่อในวันนั้น แต่ดูเหมือนความสนใจของทุกคนมุ่งไปที่เอลวิส แพลนต์บอกว่าความรู้สึกในตอนนั้น ดูแตกต่างไปจากที่เล่าให้ฟังมากมาย


Elvis สนใจเส้นทางสายดนตรีของวง Led Zeppelin ว่าทำไมพวกเขาจึงมายืนอยู่ตรงจุดนี้ได้ ด้วยเส้นทางที่ไม่ค่อยสะอาด เต็มไปด้วยเรื่องของเซ็กซ์ และยาเสพติด Elvis ถามแพลนต์ว่า "ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องจริงไหม?" แพลนต์ตอบไปว่า "ไม่จริง พวกเราเป็น Family man ผมชอบร้องเพลงของคุณระหว่างเดินอยู่ในโรงแรม" แพลนต์พยามเบี่ยงความสนใจไปเรื่องอื่น


เมื่อ Elvis ต้องมนต์สะกดของ Robert Plant

ระหว่างที่คุย จิมมี่เพจทัก Elvis ว่า "ยังไม่ได้ซาวด์เช็คกันเลย" แพลนต์เสริมว่า "ถ้าเสร็จเรียบร้อย เราจะร้องเพลงเอลวิสกัน" ทำเอาเอลวิสหัวเราะชอบใจ เอลวิสถามแพลนต์ว่าจะร้องเพลงอะไร คำตอบคือเพลง "Love Me" ของ Elvis ในปี 1956


จากนั้นแพลนต์ทำท่าทำทางแบบ "Elvis" แล้วร้องขึ้นต้นว่า “Treat me like a fool" เอลวิสร้องต่อจากนั้น "treat me mean and cruel" แล้วทั้งคู่ร้องพร้อมกัน "but love me" Elvis มองมาที่แพลนต์แล้วหัวเราะชอบใจ Stephen Davis คนเขียนหนังสือเล่าบรรยากาศเหตุการณ์ตอนนั้นว่า "The ice was firmly broken" หมายถึงว่า ความเย็นชาก่อนหน้านี้ได้ถูกทำลายจนหมดสิ้น

ผมลองไปค้นดูเพลงนี้ ปรากฏว่ามีเวอร์ชั่นที่ Robert Plant ร้องด้วย แต่ดูเหมือนเป็นการอัดร้องเล่นๆ ใครสนใจฟังลองคลิกไปที่วินาทีที่ 36


Elvis ไม่ค่อยได้ฟังเพลงของ Led Zeppelin แต่รู้จักเพลง "Stairway To Heaven" จาก "David E. Stanley" ลูกเลี้ยงของเขาซึ่งเป็นแฟนคลับตัวจริงของวง Led Zepplin Elvis เอ่ยปากชมเพลงนี้ของพวกเขา และขอลายเซ็นสมาชิกวงทั้ง 3 เพื่อเก็บไว้ให้ลูกสาวลิซ่า "Lisa"


David E. Stanley step brother of Elvis
David E. Stanley ลูกเลี้ยงกับ Elvis

David E. Stanley หนึ่งในญาติของ Elvis เล่าให้ฟังว่า

" ผมเริ่มติดตาม Elvis ออกทัวร์คอนเสิร์ตในปี 1972 ตอนนั้นผมอายุ 16 ปี ผมมีแผ่นเสียงของ Led Zeppelin ติดมือไปด้วยตลอด
ในปี 1974 หลังจากชมคอนเสิร์ตของ Elvis พวกเขาเดินข้ามมายังโรงแรมที่พักของ Elvis ผมได้เจอพวกเขาตรงหน้าลิฟท์ แล้วเดินไปที่ห้องของเอลวิสด้วยกัน
ผมแนะนำตัว จับมือกับพวกเขาและขอลายเซ็นเป็นที่ระลึก พวกเขาเป็นศิลปินวงเดียวที่ผมเคยขอลายเซ็นตลอดช่วงที่ผมได้อยู่กับ Elvis"

Elvis ฝากความประทับใจทิ้งท้าย

กลับมาที่เรื่องของ Led Zeppelin กับ Elvis หลังจากอยู่ด้วยกันเกือบ 2 ชั่วโมงพวกเขาก็ลากลับ เอลวิสเดินมาส่งที่ประตูห้อง ขณะที่พวกเขากำลังจะลงไปยังห้องโถงโรงแรม เอลวิสตะโกนมาแต่ไกล "Hey!" แล้วร้องเพลง "Love me" แพลนต์ได้ยินเสียงนั้นจึงหันหน้าตอบรับ และกลับไปยืนร้องเพลงตรงหน้าห้องเอลวิสอีกรอบ Robert Plant บอกว่าเป็นช่วงเวลาที่เขาประทับใจมาก เขาอธิบายเป็นคำพูดสั้นๆว่า

"It was a high point of my life" (เป็นจุดสูงสุดของชีวิตผม)

( ให้สัมภาษณ์ใน LA Time เมื่อ 4 มกราคมปี 1981)



แพลนต์ยังพูดถึงความสูงของ Elvis ว่า "ก่อนเจอกัน ผมคิดว่า Elvis คงสูงมาก แต่ตัวจริงไม่ได้สูงไปกว่าผม แต่เขามีแผงอกที่ดูใหญ่สมบูรณ์ เสียงจึงมีพลัง เขาเกิดมาเป็นนักร้องจริงๆ"


เรื่องราวของพวกเขากับเอลวิสไม่ได้จบอยู่เพียงแค่นี้ พวกเขายังมีโอกาสได้เจอกันที่ Graceland ในอีก 1 ปีถัดมา ครั้งนี้มี John Paul Jones มือเบสมาด้วย (และครั้งนั้นยังคงไม่ใช่ครั้งสุดท้ายที่ได้เจอกัน)


ถ้ามีโอกาส ผมจะนำเรื่องราวการพบกันของทั้งคู่มาเขียนให้อ่านอีก ซึ่งผมต้องใช้ข้อมูลถึง 4 แหล่งมาเขียนเรียบเรียงเป็นเรื่องเดียว หวังว่าคงจะทำให้แฟนเพลงของ Elvis กับ Led Zeppelin มีความสุขไม่มากก็น้อยนะครับ


ขอบคุณข้อมูลจาก: FarOutMagazine, Express, UltimateClassicRock, NightFlight


วี welove / 11 May 2020 (edit 2021, 2022)


ติดตามทางเพจ Facebook

ติดตามทาง Line

ติดตามทางเว็บไซต์ welovechannel.info

Comments


bottom of page