Don’t Give Up On Us - David Soul
16 เมษายน ปี 1977: เพลงอันดับ 1 ในอเมริกา
16 มกราคม ปี 1977: เพลงอันดับ 1 ในอังกฤษ
ขอหล่อเพราะเสียง ไม่ใช่หน้าตา
David Soul เป็นนักร้องเพลงโฟล์คมาตั้งแต่ปี 1967 แต่เวลาร้องเพลง จะมีแต่คนสนใจเส้นผมสีบรอนด์แบบชาวสแกนดิเนเวียของเขามากกว่าจะมาฟังเพลง ด้วยความตั้งใจจะเป็นนักร้องไม่ใช่นักแสดงหรือดารา เขาจึงหาช่องทางโดยส่งรูปถ่ายของตัวเองซึ่งปิดหน้าปิดตาด้วยหน้ากากโม่ง (Ski mask)ไปให้เอเจนซี่ในนิวยอร์ค เพื่อพิจารณาจากเสียงของเขาเท่านั้น ทำให้ David Soul ได้รับเลือกไปออกรายการทีวี "The Merv Griffin TV show" โดยได้รับเลือกเป็น "The Covered Man”ของรายการ ซึ่งต้องร้องเพลงโดยไม่เปิดเผยหน้าตา (แสดงว่า Mask Singer มีมาตั้งนานแล้ว) ตอนนั้นเป็นช่วงปี 1967
เขามาร้องเพลงออกรายการรวม 25 ครั้ง ก่อนร้องทุกครั้ง เขาจะแนะนำตัวเองว่า
"My name is David Soul, and I want to be known for my music." นั่นหมายถึงว่า เขาอยากขายเพลงของเขามากกว่าขายหน้าตา ซึ่งทำให้ทุกคนยิ่งอยากเห็นหน้าตาของเขา และทำให้เขาโด่งดังในนาม "The Covered Man”
ไม่ได้เป็นนักร้องตามฝัน
หลังจากรายการได้เฉลย "The Covered Man” งานของ David ก็จบตามไปด้วย แต่อย่างน้อยทำให้เขาเริ่มเป็นที่รู้จักของชาวอเมริกัน จึงได้ออกรายการทีวีเป็นแขกรับเชิญในรายการต่างๆ รวมถึงได้แสดงเป็นตัวประกอบหนังทั้งทางทีวี และหนังจอใหญ่ด้วย
หนึ่งในนั้นคือหนังของ Clint Eastwood เรื่อง Magnum Force (1973) ซึ่งเขารับบทเป็นหนึ่งในตำรวจคอรัปชั่นที่ขับมอเตอร์ไซด์
แต่เรื่องที่สร้างชื่อให้ David Soul มากที่สุด กลับกลายเป็นหนังซีรีย์เรื่อง Starsky & Hutch ที่ออกฉายทางทีวีในช่วงปี 1975-1979 ซึ่งได้รับความนิยมไปทั่วโลก รวมทั้งในเมืองไทยด้วย
สร้างโอกาสเองอีกสักครั้ง
อย่างที่ทราบกัน ตัวของเขาตั้งใจจะเป็นนักร้องมากกว่าเป็นนักแสดง แต่ผลออกมาตรงกันข้าม เขาโด่งดังในฐานะนักแสดง
เขาจึงฉวยโอกาสทองนี้ไปขุดงานเพลงเก่าๆมาทำอัลบั้มในช่วงที่ตัวเองกำลังเป็นที่นิยม และนำเพลงที่เพื่อน Tony Ma caulay เขียนให้ใหม่ชื่อว่า "Don't Give Up On Us" มาทำเป็นซิงเกิ้ล โดยเพื่อนคนนี้ทำหน้าที่เป็นโปรดิวเซอร์ให้ด้วย
ความหมายของเพลง
เนื้อเพลง Don't Give Up On Us เรียบง่ายและตรงไปตรงมา พูดถึงความสัมพันธ์ของคู่รักที่กำลังประสบปัญหา โดยฝ่ายหนึ่งขอให้อีกฝ่ายอย่ายอมแพ้
ทั้งคู่ยอมรับความผิดพลาดที่เกิดขึ้น และหวังว่าพวกเขาจะสามารถแก้ไขปัญหาและรักษาความรักของพวกเขาได้ เนื้อร้องตรงท่อนฮุคเป็นการขอร้องให้อีกฝ่ายพยายามต่อไป แม้ว่าสิ่งต่างๆ จะดูสิ้นหวังก็ตาม
"The song speaks of a relationship that is in trouble, with one partner asking the other not to give up on them."
One Hit Wonder
แน่นอนว่าการเป็นคนดังในช่วงเวลานั้น ทำให้เพลงนี้ได้รับความนิยม สามารถขึ้นถึงอันดับ 1 ทั้งในอเมริกา (1สัปดาห์) และในอังกฤษ (4สัปดาห์) รวมถึงในประเทศอื่นๆด้วย
อย่างไรก็ตาม หลังจากเพลงนี้ เขาก็ไม่มีเพลงฮิตในระดับ Top 40 อีกเลย แม้จะมีเพลงดังอันดับ 1 ในอังกฤษอีกเพลง "Silver Lady" แต่ในอเมริกา ทำได้เพียงอันดับ 52 เขาจึงกลายเป็นนักร้องประเภท "One-Hit-Wonder"
วี welove / 16 April 18 ( edit2 2023)
ติดตามทางเพจ Facebook
ติดตามทาง Line
ติดตามทางเว็บไซต์ welovechannel.info