top of page
Cateม่วง.png

"คุยกับ Tina Turner" เธอ..ผู้ที่ไม่มีวันยอมแพ้

อัปเดตเมื่อ 22 มิ.ย.

ตั้งแต่เมื่อวานมีแต่ข่าวการจากไปของ Tina Turner ตำนานศิลปินที่ยิ่งใหญ่อีกคนของโลกใบนี้ เพจของศิลปินดังมากมายในหน้าเฟสล้วนอำลาอาลัยเธอมากมายจนน่าตกใจ แสดงว่าเธอเป็นที่รักของแฟนเพลงและศิลปินมากมายในรุ่นของเธออย่างไม่สามารถปฏิเสธได้


และไม่ต้องแปลกใจถ้าผมจะหยิบเรื่องราวของเธอมาพูด เพราะเส้นทางชีวิตของเธอไม่ได้โรยด้วยดอกกุหลาบ ชีวิตและมุมมองของเธอจึงควรค่าแก่การศึกษา ก่อนอื่นเราไปทำความรู้จักเธอคร่าวๆ ก่อนจะไปอ่านบทสัมภาษณ์ของเธอกัน บทสัมภาษณ์ที่จะทำให้รู้ว่าเธอแก้ปัญหาชีวิตอย่างไร สุดท้ายเธอพบความสุขที่แท้จริงได้หรือไม่ เราจะได้ทราบการมี 2 บุคลิกของเธอ เธอจะใช้ประสบการณ์ที่เธอมีสอนคนรุ่นใหม่ได้อย่างไร และอื่นๆอีกพอสมควร ไปติดตามอ่านกันต่อเลยครับ



ชีวิตเธอฉบับย่อ

ชื่อเดิมของเธอคือ "Anna Mae Bullock" เติบโตในรัฐเทนเนสซี ตอนเด็กเธอชอบร้องเพลงและพากษ์หนังสดๆเพื่อสร้างความสนุกสนานให้กับครอบครัว พออายุได้ 20 ปีก็เปลี่ยนมาใช้ชื่อ "Tina Turner" เพื่อใช้ในอาชีพการแสดงคู่กับ Ike Turner สามีของเธอในเวลาต่อมา แต่เบื้องหลังภาพที่ดูมีความสุข กลับกลายเป็นว่าเธอถูกสามีทำร้ายมาโดยตลอด (เธอไม่เคยคิดจะคบหากับ Ike ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว เธอปฏิเสธเขาในตอนแรก เธอก็โดนทำร้ายเลย จนเป็นโรคผวาและต้องจมทุกข์มาโดยตลอด จนหย่าขาดเมื่อปี 1978)


เมื่อเธอรวบรวมความกล้าได้ จึงออกมาเป็นศิลปินเดี่ยวแม้จะไปไม่รอดจนถูกยกเลิกสัญญาในช่วงยุค 70s แต่เธอก็สามารถออกมาจากชีวิตคู่อันโหดร้ายนี้ได้ในปี 1978 และเมื่อขึ้นสู่ยุค 80s โชคก็เข้าข้างเธอ จนได้เซ็นสัญญากับค่ายดังอย่าง Capital และครั้งนี้เธอไม่พลาด อัลบั้มเดี่ยวชุดที่ 5 "Private Dancer" ที่มีเพลงดังมากมาย รวมถึงเพลง "What's Love Got To Do With It" ที่ขึ้นอันดับ 1 ในอเมริกา สามารถขึ้นถึงอันดับ 3 โดยอัลบั้มนี้มียอดขายมากกว่า 20 ล้านชุด



เห็นอย่างนี้แล้วนึกว่าชีวิตของเธอจะจบด้วยความสุขตลอดไป แต่ไม่เลยชีวิตของเธอยังต้องทนทุกข์กับโรคภัยต่างๆ ทั้งไตวาย เส้นเลือดในสมองตีบถึงขั้นต้องหัดเดินใหม่ (2013) และที่ร้ายสุดก็มะเร็งลำไส้ (2016) และในวันที่ 25 พฤษภาคมที่ผ่านมา (2023) เธอก็ยอมแพ้กับปีศาจร้ายทั้งหลายในกายเธอ #RIP


Tina Turner ยังต้องทนทุกข์กับเรื่องลูก 2 คนที่เกิดจากเธอ เพราะทั้งคู่ต้องมาเสียชีวิตก่อนเธอก่อนวัยอันควร โดย Raymond Craig ลูกคนแรกที่เกิดจาก Raymond Hill มือแซ็กโซโฟนของวงต้องมาเสียชีวิตจากการฆ่าตัวตายในปี 2018 ขณะอายุเพียง 60 ปี เธอคลอดลูกคนนี้ตอนเธออายุเพียง 18 ปี ก่อนจะคบกับ Ike Turner ซึ่งพักอยู่ที่เดียวกันกับ Raymond Hill


ส่วน Ronnie Turner ลูกคนที่ 2 ที่เกิดจาก Ike Turner มาเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งเมื่อเดือนธันวาคมปีที่แล้วนี่เอง (2022) ในวัย 62 ปี คิดดูสิว่าคุณแม่อย่าง Tina Turner ที่ป่วยมีหลายโรครุมเร้าต้องมาประสบกับเรื่องแบบนี้กับตัวเอง เธอต้องมองผ่านสิ่งเหล่านี้ เธอต้องอดทนต้องใช้ความพยายามมากขนาดไหนที่จะผ่านพ้นความรู้สึกเสียใจนี้ แต่เธอก็ผ่านพ้นมันไปได้ด้วยหลักพุทธศาสนา (ภาพแรกเป็นลูกชายคนแรกกับเธอ ภาพที่ 2 และ 3 เป็นลูกชายคนที่ 2 ภาพสุดท้ายคือหนังสือที่เธอเขียน)



และในช่วงปลายชีวิตของเธอ เธอจึงได้เขียนหนังสือ "Happiness Becomes You : Guide to Changing Your Life for Good" เพื่อช่วยเหลือคนอีกมากมายให้ผ่านเรื่องร้ายๆไปให้ได้ หนังสือเล่มนี้ออกวางจำหน่ายในเดือนธันวาคม ปี 2020 เห็นชื่อหนังสือแล้วก็พอจะเดาได้เลยว่า เธอต้องการบอกอะไรกับคนอ่าน และมีความน่าเชื่อถืออย่างแน่นอน เพราะเขียนโดยคนที่ผ่านความทุกข์แสนสาหัสมาตลอดทั้งชีวิต


จากเรื่องราวที่ผมสรุปย่อให้รับทราบเรื่องราวของเธอ ผมจึงอยากให้แฟนเพจได้รับรู้ความคิด คำแนะนำของเธอผ่านการสัมภาษณ์นี้ หวังว่าจะเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อย



 

บทสัมภาษณ์

ผมไปอ่านเจอบทสัมภาษณ์ของเธอ อ่านแล้วน่าสนใจ เป็นอะไรที่อยากแชร์ให้เพื่อนๆและแฟนเพจได้อ่านไปพร้อมกัน และเพื่อให้ไม่ยืดยาวจนเกินไป ผมจะหยิบยกเฉพาะประเด็นที่น่าสนใจมาให้อ่านนะครับ เป็นการให้สัมภาษณ์ผ่านนิตยสาร "Harvard Business Review" (HBR) โดย Alison Beard ในหัวข้อเรื่อง "Life’s Work: An Interview with Tina Turner" ตีพิมพ์ในนิตยสารช่วงเดือน มกราคม-กุมภาพันธ์ 2021หรือ 2 ปีก่อนที่เธอจะเสียชีวิต..




HBR: คุณมีเรื่องขึ้นๆลงๆมากมายในชีวิตส่วนตัวและการงาน คุณได้เรียนรู้อะไรจากตรงนี้บ้าง?

Tina: "ฉันเคยมึนงงว่าทำไมต้องทนอยู่กับการถูกทำร้ายมากมายขนาดนั้น เพราะฉันไม่ได้ทำอะไรที่สมควรไง แต่พอฉันได้เริ่มปฏิบัติธรรม ฉันจึงตระหนักได้ว่าความยากลำบากของฉันทำให้ฉันมีเป้าหมาย ฉันเห็นอย่างนั้นได้ด้วยการเอาชนะอุปสรรคของฉัน ฉันสามารถสร้างความสุขที่ยากจะทำลายได้ และเป็นแรงบันดาลใจให้คนอื่นทำอย่างนั้นได้เช่นกัน แล้วฉันก็เห็นทุกอย่างที่เข้ามาทั้งจุดสูงสุดและจุดต่ำสุด ล้วนเป็นโอกาสทำให้ฉันพัฒนาตัวเองและช่วยจุดประกายความหวังให้กับคนอื่นๆได้


"Then I could see everything that came my way, both the highs and the lows, as an opportunity for self-improvement and for sparking hope in others."

HBR: คุณคือ "Anna Mae" แล้วกลายเป็น "Tina" ชื่อหลังเป็นแค่ตัวละครหรือเป็นตัวจริงของคุณกันแน่?

Tina: ฉันคือ "Anna Mae" และฉันก็คือ "Tina" ด้วยเช่นกัน พวกเขาเป็นสองด้านสองบุคลิกของชีวิตฉัน "Anna Mae" อยู่ฝั่งติดบ้าน ชอบความสงบและความเป็นส่วนตัว ส่วน "Tina" อยู่ฝั่งศิลปะ และรักการแสดงออกทางศิลปะทุกรูปแบบ ฉันแน่ใจว่าแง่มุม Anna จะรวมเข้ากับ Tina ได้ และในทางกลับกันก็เช่นกัน


"I’m Anna Mae, and I’m also Tina. They’re two sides of my personality, two facets of my life."

HBR: คุณเคยฝันถึงอาชีพนักดนตรีหรือไม่?

Tina: ตอนเป็นวัยรุ่น ฉันเป็นผู้ช่วยพยาบาล และดูแลเด็กเล็กด้วย ฉันชอบเด็กๆเสมอ และมักเอาใจใส่ผู้อื่นจนเป็นนิสัย แม่ของฉันเลยคิดว่าฉันควรเป็นพยาบาลหรือไม่ก็คุณครู แต่ในใจลึกๆของฉัน ฉันรู้เลยว่าเส้นทางเหล่านั้นไม่ใช่ของฉันแน่นอน ฉันรักการร้องเพลงและเต้นตั้งแต่ยังเป็นเด็ก และใครๆก็บอกว่าชอบฟังฉันร้องเพลงมากแค่ไหน แต่ฉันไม่เคยคิดว่าฉันจะเป็นนักร้องอาชีพจนกระทั่งเมื่อฉันโตขึ้นมานั่นแหละ


"I did love singing and dancing as a child, and everyone told me how much they enjoyed hearing me sing. But I never thought much of becoming a professional singer until I was older."

HBR: ทักษะการแสดงของคุณเกิดขึ้นเอง หรือต้องสร้างมันขึ้นมา?

Tina: ฉันเป็นนักแสดงมาตั้งแต่เด็ก เมื่อฉันยังเป็นเด็กหญิง ทุกครั้งที่ฉันมีโอกาสฉันจะไปโรงหนังท้องถิ่น แล้วจำฉากต่างๆเพื่อจะได้ทำตามฉากเหล่านั้น แม้ฉันจะได้รับการฝึกฝนการร้องเพลงตอนอยู่ไฮสกูลและเรียนร้องโอเปร่ามาบ้าง แต่ความสามารถด้านเสียงร้องและการเต้นของฉันส่วนใหญ่มาจากตัวฉันเอง


"Although I did have a bit of singing training in high school and even learned some opera, my voice and dance abilities have mostly come naturally to me."

HBR: คุณไม่ประสบความสำเร็จในทันทีทันใดในฐานะศิลปินเดี่ยว คุณเคยคิดจะเลิกเล่นไหม?

Tina: ฉันไม่เคยคิดที่จะยอมแพ้ความฝันของฉัน คุณสามารถพูดได้เลยว่าฉันเป็นคนมองโลกในแง่ดีที่ไม่มีอะไรจะมาทำลายได้ และฉันก็รู้เสมอว่า "อะไร" นั้นสำคัญกว่า "อย่างไร" หรือจะพูดอีกอย่างว่า แม้ฉันจะมีช่วงเวลาที่ยากลำบากที่จะเห็นว่าฉันจะทำความฝันให้เป็นจริงได้อย่างไร แต่ฉันก็มุ่งความสนใจไปในสิ่งที่ฉันต้องการบรรลุผลสำเร็จในชีวิตทั้งส่วนตัวและในอาชีพการงาน ฉันลงมือทำวันแล้ววันเล่า นอกพื้นที่สบายๆของตัวเอง เพื่อพัฒนาตัวเองและไปให้ใกล้จุดหมายเหล่านั้น ในทางพุทธเราเรียกกระบวนการเปลี่ยนแปลงภายในนี้ว่า "การเปลี่ยนแปลงมนุษย์โดยสิ้นเชิง (human revolution)


"I never considered giving up on my dreams. You could say I had an invincible optimism. And I always knew that the “what” was more important than the “how.”"

HBR: คุณเคยแสดงมาบ้างแล้ว ทำไมต้องการขยายขอบเขตนอกเหนือจากด้านดนตรี?

Tina: การแสดงภาพยนตร์เป็นความฝันที่ยิ่งใหญ่เสมอ แม้ว่าฉันจะไม่เคยแสดงให้เห็นมากไปกว่าการอธิษฐานส่วนตัวของฉันก็ตามที ดังนั้นมันจึงน่าประหลาดใจมากเมื่อฉันถูกชวนให้แสดงบทนำในภาพยนตร์ร็อคโอเปร่าเรื่อง "Tommy" นั่นเป็นความฝันที่เป็นจริง เหมือนที่ได้แสดงในภาพยนตร์เรื่อง "Mad Max Beyond Thunderdome" เช่นกัน


"Acting in movies was always a big dream, even though I had never expressed it outside my private prayers."

HBR: คุณมีคำแนะนำอะไรให้กับคนหนุ่มสาวที่กำลังก้าวเข้าสู่วงการสร้างสรรค์ในทุกวันนี้บ้าง? Tina: ซื่อสัตย์ต่อตัวเอง ทำงานหนัก และมีความน่าเชื่อถือ การไปตามถนนที่ไม่ได้ผ่านบ่อยนั้นจะยากกว่า แต่ก็คุ้มค่า และไม่ว่ายังไงก็ตาม อย่ายอมแพ้

"Stay true to yourself, work hard, and be reliable. Taking the road less traveled is often harder but well worth it. And no matter what, never give up."

HBR: ทำไมคุณถึงออกมาจากอเมริกาเพื่อมาอยู่ที่สวิสเซอร์แลนด์?

Tina: ฉันรู้สึกผูกพันกับสวิตเซอร์แลนด์เสมอ และที่นี่รู้สึกเหมือนได้อยู่บ้านจริงๆเสียที เป็นสถานที่ทางจิตวิญญาณโดยเฉพาะ ยากที่จะอธิบาย แต่สภาพแวดล้อมทางธรรมชาติที่นี่โอบกอดฉันด้วยพลังแห่งความรักที่มาจากทั้งภายนอกและภายใน ที่ที่ฉันอาศัยอยู่ริมทะเลสาบซูริคนั้นอยู่ไม่ไกลจากทุ่งหญ้าที่ทำให้ฉันนึกถึง Nutbush ซึ่งเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ฉันชอบสวิตเซอร์แลนด์มาโดยตลอด


"I have always felt connected to Switzerland and very much at home here."

HBR: คุณทำอะไรในวัยเกษียณ?

Tina: ในวัยเกษียณของฉัน ทำให้ฉันมีเวลาพักผ่อนและไตร่ตรองมากขึ้น มันให้โอกาสในการไล่ตามบางสิ่งที่ฉันอยากทำมานานหลายสิบปี เช่นการเขียนหนังสือเกี่ยวกับการเดินทางของฉันทางจิตวิญญาณ ช่วงเวลานี้ของชีวิตฉันยังทำให้ฉันมีเวลามากขึ้นในการอ่าน จะได้สนับสนุนโครงการกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับศาสนาอื่นๆนอกเหนือจากดนตรี และใช้เวลาอยู่กับพระเจ้า


"My retirement has given me more time to relax and reflect. It offered an opportunity to pursue something I’d wanted to do for decades"

HBR: คุณพบความสุขแล้วหรือยัง?

Tina: เป็นการยากที่จะให้คำตอบสั้นๆสำหรับคำถามนั้น อันที่จริงคำตอบอยู่ในหนังสือของฉันทั้งหมดแล้ว! แต่หลังจากที่ฉันเริ่มเอาหลักธรรมทางพุทธศาสนามาใช้ ฉันได้พัฒนาความรู้สึกอันแรงกล้าของจุดมุ่งหมาย ฉันยังได้รับการตระหนักรู้ในตัวเองอย่างชัดเจน ถึงศักยภาพในการยกตัวเองออกจากปัญหาใดๆ และเปลี่ยนมันให้เป็นสิ่งที่มีค่า เปลี่ยนการคิดลบที่ทำลายล้างให้กลายเป็นความคิดสร้างสรรค์ที่เต็มไปด้วยความหวังและความสุข


"It’s hard to give a brief answer to that question. In fact, the answer fills my entire book!"

หวังว่าเรื่องราวประสบการณ์ที่เธอได้พบเจอและนำมาซึ่งบทสรุปในการให้สัมภาษณ์ในครั้งนี้ น่าจะมีประโยชน์กับพวกเราไม่มากก็น้อยนะครับ เราได้รู้จักตัวตนของเธอมากขึ้น แม้เธอจะจากพวกเราไปไกลแล้ว แต่เสียงเพลงของเธอก็คงยังอยู่ใกล้ในใจของพวกเราตลอดไป...Rest In Peace, Tina Turner


ขอบคุณข้อมูลบางส่วนจาก hbr.org


วี welove / 26 May 2023


ติดตามทางเพจ Facebook

ติดตามทาง Line

ติดตามทางเว็บไซต์ welovechannel.info

0 ความคิดเห็น
bottom of page