วี welove
27 ส.ค. 20212 นาที
อัพเดตเมื่อ: 28 ส.ค. 2021
การพบกันครั้งนี้มีขึ้นที่แมนชั่นหรูของเอลวิส "Bel Air" ในนครลอสแองเจลิส ภายใต้การรักษาความปลอดภัยอย่างแน่นหนา ผู้พัน Tom Parker ไม่อนุญาติให้มีการถ่ายรูป และไม่ให้สื่อมวลชนเข้ามาทำข่าว มีเพียง Chris Hutchins นักข่าวหนึ่งเดียวจากอังกฤษ "New Musical Express" ซึ่งเตรียมอุปกรณ์การทำข่าวมาพร้อม
ทั้ง Beatles และ Elvis ต่างรู้สึกประหม่าต่อการเจอกันครั้งนี้ เดอะบีทเทิลส์มองเอลวิสอย่างชื่นชม เขาคือราชาร็อคแอนด์โรลตัวจริงเสียงจริง ส่วนเอลวิสและผู้พันปาร์กเกอร์มองเดอะบีทเทิลส์เป็นตัวปัญหาจากลิเวอร์พูลที่กำลังจะมาคุกคามอาณาจักรของพวกเขา เพราะเอลวิสผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว และกำลังอยู่ในช่วงขาลง ต่างกับ The Beatles ซึ่งกำลังเป็นช่วงขาขึ้น และกำลังยืนอยู่บนจุดสูงสุดของชื่อเสียง
ด้วยภาพลักษณ์หนุ่มหล่อผิวขาวจากทางใต้ที่หลงใหลในดนตรีของคนผิวสี R&B, country และเพลงป๊อบ ทำให้เอลวิสครอบครองโลกดนตรีไว้ในกำมือได้อย่างง่ายดาย และเมื่อผู้พันปาร์กเกอร์ให้ความสำคัญเรื่องความสำเร็จทางธุรกิจมากกว่าการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ เขาจึงเป็นผู้กำหนดทุกอย่างเกี่ยวกับเอลวิส ดังนั้นในช่วงปี 1965 เอลวิสจึงทำแต่เพลงซาวด์แทร็กหนังที่เขาแสดงเท่านั้น ไม่มีอะไรใหม่ๆให้แฟนเพลงได้ตื่นเต้นเหมือนในช่วงยุค 50s
ตรงข้ามกับ Brian Epstein ผู้จัดการของThe Beatles เขาให้ความสำคัญกับความคิดสร้างสรรค์การสร้างผลงานเพลง เขาจึงสนับสนุนThe Beatls ทุกทางเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย ไบรอันรู้ดีว่าทั้ง 4 หนุ่มมีการศึกษา มีความเป็นศิลปิน และมีความเป็นตัวของตัวเองที่ดูมีเสน่ห์ สอดคล้องกับทิศทางของวัยรุ่นในยุค 60s
Chris Hutchins นักข่าวหนึ่งเดียวของงานนี้ เคยพยายามให้ Elvis เจอ The Beatles หลายต่อหลายครั้ง แต่ผู้พันปาร์กเกอร์ไม่ค่อยเต็มใจจัดการเรื่องนี้สักเท่าไร เพราะความดังของThe Beatles ในช่วงเวลานั้น ( Beatlemania) บดบังรัศมีของ Elvis จนตกเป็นรองไปเรียบร้อยแล้ว การพบกันของทั้งสองฝ่ายอาจจะทำให้เอลวิสดูไม่เด่นเท่า ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้พันปาร์คเกอร์ไม่อยากเห็น
ความพยายามในครั้งนั้นเกิดขึ้นในปี 1964 โดย Chris Hutchins แนะนำ The Beatles ได้รู้จักผู้พันปาร์คเกอร์ ผู้พันได้มอบของขวัญให้ทั้ง 4 คนเป็นเข็มขัดและซองหนังแบบตะวันตก และในวันนั้นพอลได้คุยสายกับเอลวิสในช่วงเวลาสั้นๆด้วย ซึ่งนำไปสู่การนัดพบกันในเวลาต่อมา
ในที่สุดการพบกันของ 2 ตำนานผู้ยิ่งใหญ่จึงเกิดขึ้นในวันศุกร์ที่ 27 สิงหาคมปี 1965 (พ.ศ.2508) โดยผู้พันปาร์กเกอร์กับ Joe Esposito ผู้จัดการจัดทัวร์คอนเสิร์ตของเอลวิสได้ขับรถลิมูซีน 'Cardilac' ไปรับ The Beatles และ Brian Epstein ถึงที่พักที่ Benedict Canyon ตลอดทางทั้ง 4 หนุ่มสนุกกับการสูบบุหรี่ คุยขำขัน หัวเราะกันสนุก และมาถึงหน้าประตูรั้วด้านนอกแมนชั่นราว 5 ทุ่ม มีเสียงกรีดร้องจากบรรดาแฟนเพลงสาวๆซึ่งยืนรออยู่รั้วด้านนอก จอห์นเล่าว่า "พวกเราทุกคนกระสับกระส่ายราวกับจะตกนรกทั้งเป็น พวกเราเห็น Elvis ถูกรายล้อมด้วยสมุนมาเฟีย'เมมฟิส' และกลุ่มเพื่อนบิ๊กไบค์เต็มไปหมด"
เอลวิสรออยู่ตรงหน้าประตูบ้าน และเมื่อทุกคนลงมาจากรถ เขาก็พาทุกคนเดินผ่านล็อบบี้ทรงกลมขนาดใหญ่ ที่มีแสงไฟสีแดงและน้ำเงิน ซึ่งเป็นสีโปรดของเอลวิส แล้วเดินตรงมายังห้องนั่งเล่นขนาดใหญ่ที่มีโทรทัศน์สีจอยักษ์ซึ่งปิดเสียงอยู่ และทุกคนก็นั่งรวมกันที่นี่ โดยมี Brian Epstein และพันเอก Tom Parker ยืนอยู่ข้างๆ
ตอนพบกันนั้นเอลวิสนั่งอยู่ระหว่างจอห์นกับริงโก้ โดยจอห์นกับพอลนั่งอยู่ด้านขวา ส่วนริงโก้ และจอร์จนั่งอยู่ด้านซ้ายของเอลวิส ภายในห้องเปิดเพลงจากตู้ Jukebox ดังพอประมาณ (ไม่ใช่เพลงของพวกเขา) พอเสียงเพลงหยุดลง ทั้งห้องเงียบไม่มีใครเอ่ยปากพูดอะไรเลย สักพักสายตาทุกคู่ก็หันมามองที่เอลวิสเป็นจุดเดียว
เอลวิสแก้เขินด้วยการหยิบรีโมทมาเปลี่ยนช่องทีวีสีจอยักษ์ แล้วพูดขึ้นว่า
“If you damn guys are gonna sit here and stare at me all night I’m gonna go to bed.”
“ถ้าทุกคนยังนั่งจ้องผมอยู่ตรงนี้ทั้งคืน ผมก็จะขึ้นไปนอนแล้วนะ"
พอลตอบรับทันที "จริงๆเราน่าจะคุยกันเรื่องเพลง หรือไม่ก็เล่นแจมกันสักหน่อย” แล้วเดินไปนั่งตรงเปียโนสีขาวที่วางอยู่พร้อมแจมเพลงร็อคของเอลวิสเพื่อเอาใจเจ้าบ้าน โดยเอลวิสเล่นเบสแม้จะเป็นมือใหม่ ส่วนจอห์นกับจอร์จเล่นกีต้าร์อยู่ข้างๆ แม้ริงโก้จะไม่มีกลองตี แต่ก็ช่วยนั่งเคาะจังหวะอยู่ตรงนั้น สักพักริงโก้ย่องไปจอยเล่นพูลกับเหล่าสมุนเอลวิสอีกมุมห้อง ช่วงเวลานั้นพายุพัดแรง ฟ้าผ่าดังกึกก้องไปทั่วภูเขา ฝนซัดสาดลงบนหลังคาแมนชั่นสุดหรู ยิ่งฝนสาดเสียงดังมากขึ้นเท่าไร พวกเขาก็เล่นดังมากขึ้นเท่านั้น
หลังจากหมดเพลงที่จะเล่นด้วยกัน ทั้ง 2 ฝ่ายก็ใช้เวลาเสวนาเกี่ยวกับปัญหาที่พวกเขาต้องเผชิญกับแฟนเพลงระหว่างออกทัวร์คอนเสิร์ต จอร์จคุยเกี่ยวกับเครื่องบินที่พวกเขานั่งเกิดไฟไหม้ระหว่างร่อนลงที่พอร์ตแลนด์ เอลวิสเมื่อได้ฟังก็เล่าประสบการณ์เดียวกันที่เกิดกับเครื่องบินที่เขานั่งที่แอตแลนต้า
และเมื่อเอลวิสคุยเกี่ยวกับการเร่งทำหนังที่เขาแสดงให้จบภายใน 4 สัปดาห์ The Beatles เมื่อได้ฟังก็ถึงกับอึ้งเพราะพวกเขาเคยถูกเร่งให้ทำการแสดงให้จบภายใน 6 สัปดาห์ แค่นั้นพวกเขาก็เครียดจนแทบจะนอนไม่หลับกันอยู่แล้ว จอห์นนึกสงสัยว่าทำไมเอลวิสถึงเอาดีกับการแสดงหนังและร้องเพลงเฉพาะในบทหนังเท่านั้น จึงถามเอลวิสว่า
“Why don’t you go back to making rock’n’roll records?” (ทำไมคุณไม่กลับไปทำเพลงร็อคแอนด์โรลเหมือนเคย)
“What happened to the old rock ’n’ roll Elvis?” (เกิดอะไรขึ้นกับเอลวิสคนร็อคยุคเก่า)
คำถามนี้อาจจะฟังดูไม่มีอะไร แต่สำหรับเอลวิสแล้ว มันแทงใจเขามากเพราะจอห์นพูดเหมือนตอกย้ำว่าความนิยมของเขากำลังอยู่ในช่วงขาลง แทนที่เอลวิสจะโต้ตอบกลับ เขากลับอ้างเหตุผลเรื่องคิวการแสดงที่แน่นจนทำให้เขาไม่มีเวลาทำอย่างอื่นได้เลย
แต่สุดท้ายจอห์นก็ทำให้เอลวิสโกรธจนได้ จุดเริ่มต้นมาจากโคมไฟตั้งโต๊ะขนาดใหญ่ซึ่งมีข้อความเขียนว่า "All the Way with LBJ" ซึ่งทันทีที่จอห์นมองเห็น เขาพูดในฐานะพวกต่อต้านสงครามว่า เขาเกลียดประธานาธิบดีจอห์นสัน 'Lyndon B Johnson' ( LBJ ) เพราะเป็นผู้จุดชนวนสงครามเวียตนาม
เอลวิสที่เคยรับใช้กองทัพสหรัฐมา 2 ปี ได้ฟังดังนั้นถึงกับโกรธไม่พอใจ และเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เอลวิสไม่ชอบจอห์น ไม่ถูกชะตากันนับตั้งแต่วันนั้น....แม้จะไม่มีการโต้ตอบใดๆจากเอลวิส แต่บรรยากาศในตอนนั้นก็คงพอทำให้เข้าใจว่า เจ้าบ้านไม่พอใจเป็นอย่างมาก
พอลเล่าว่า "ราวๆสัก 5 ทุ่ม 'Priscilla' แฟนสาวของเอลวิสได้ลงมาปรากฏตัว ภาพที่เห็นเหมือนภาพตุ๊กตาบาร์บี้เดินได้ เธอใส่เสื้อผ้าฝ้ายลายตารางสีม่วงกับชุดโบว์ผูกผมลายเดียวกัน เธอแต่งหน้าเข้มมาก"
พอใกล้เที่ยงคืน เอลวิสสั่งให้เชฟ Alvena Roy เตรียมอาหาร ก่อนที่ The Beatles จะลากลับ พวกเขาอยู่ด้วยกันร่วม 3 ชั่วโมง และออกจากแมนชั่นราวๆตี 2 ซึ่งยังคงมีสาวๆยืนรอส่งเสียงกรี๊ดอยู่นอกประตูรั้ว
เอลวิสโบกมือส่งแขกและได้มอบอัลบั้มครบชุดของเขาให้กับแต่ละคน พร้อมกับซองหนังสำหรับใส่ปืนพก เข็มขัดหนังสีทอง และโคมไฟตั้งโต๊ะที่ดูคล้ายรถเกวียน แล้วบอก The Beatles ว่าถ้ามีโอกาสมาเทนเนสซี อย่าลืมแวะมาหาเขาที่เมมฟิสด้วย และเมื่อรถลีมูซีนที่รับส่ง The Beatles ขับออกมาจากรั้ว จอห์นหันมาพูดกับเพื่อนๆติดตลกว่า
“Where’s Elvis? It was like meeting Engelbert Humperdinck.” ( Elvis อยู่ไหน ยังกับมาเจอ Engelbert Humperdinck)
หลังจากการพบกันครั้งนั้น เอลวิสได้ติดต่อ J. Edgar Hoover ผู้อำนวยการ FBI กับประธานาธิบดีนิกสัน 'Nixon' โดยให้ข้อมูลว่า : The Beatles ได้สร้างปัญหาต่างๆมากมาย สร้างความขัดแย้งระหว่างคนหนุ่มสาวกับรัฐบาล การปรากฏตัวที่วุ่นวายและไม่หวังดีมาพร้อมกับเสียงเพลงที่ชี้นำตลอดต้นยุคถึงกลางยุค 60s นอกจากนี้เอลวิสยังอ้างว่า The Beatles วางยาพวกคนหนุ่มสาวชาวอเมริกัน โดยการใส่ร้ายอเมริกาด้วยการพูดในที่ชุมชน และในหลายๆกิจกรรม
ผ่านมาหลายปี The Beatles เพิ่งรู้ว่า เอลวิสร่วมมือกับเอฟบีไอพยายามห้ามไม่ให้พวกเขาเข้ามาในดินแดนอเมริกาอีก และเสนอให้เนรเทศจอห์นเลนนอนออกจากอเมริกาในปี 1972 เพราะจอห์นเป็นพวกต่อต้านสงคราม แต่กลับกลายเป็นประธานาธิบดีนิกสันที่ต้องเป็นฝ่ายเพลี้ยงพล้ำลาออกจากทำเนียบก่อนใครเพื่อนด้วยคดีอื้อฉาววอเตอร์เกท ในขณะที่จอห์นเลนนอนยังคงได้อยู่อเมริกาต่อไป......
ในปี 1977 เป็นคิวของเอลวิสที่จากโลกนี้ไปอย่างกระทันหัน.....และผ่านไปแค่เพียง 3 ปี จอห์นเลนนอนก็ถูกยิงเสียชีวิตใจกลางกรุงนิวยอร์ค สหรัฐอเมริกา ดินแดนสนธยาของใครต่อใครหลายคน.....#RIP
วี welove / 27 Aug 20 (edit 2021)
ชอบกดไลค์ ใช่กดแชร์ (ด้านล่าง)
ติดตามทางไลน์ คลิกปุ่ม"เพิ่มเพื่อน"(ด้านบน)