วี welove

28 เม.ย. 20202 นาที

"The Beatles" กว่าจะก้าวข้ามกำแพงเมืองลุงแซม (ตอนจบ)

อัพเดตเมื่อ: 18 ม.ค. 2022

แพ้ยก 2 เพราะทำคะแนนตกหล่น ( การเจรจาครั้งที่ 2 )

จากเรื่องราวส่งท้ายเมื่อตอนที่แล้ว ยอดขายเพลง From Me To You เริ่มกระเตื้องขึ้นจากการโปรโมทของดีเจ Dick Biondi แต่ความนิยมของเพลงก็ยังไม่ฮิตถึงขั้น Hot 100 แต่ก็นับว่าเป็นสัญญานที่ดีพอที่จะกลับมาฮึดสู้ต่อไป

จังหวะที่ George Martin กับ Brian Epstein คิดว่าน่าจะเหมาะสมในการกลับไปเจรจากับ Capital Recordsในอเมริกาก็คือ ช่วงเดือนสิงหาคม ปี 1963 ซึ่งซิงเกิ้ลเพลง “She Love You” กำหนดวางขายในอังกฤษ

และมียอดจองล่วงหน้าสูงถึง 500,000 ชุด ตัวเลขนี้น่าจะทำให้ Jay Livingstone นายใหญ่ของCapital Records เชื่อมั่นในความนิยมของวง The Beatles เสียที

แต่ไม่ใช่อย่างที่คิดไว้เลย เพราะกำแพงเหล็กชั้นในสุด ได้ก่อตัวมาตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ จนถึงพฤษภาคมที่ผ่านมา เนื่องจากซิงเกิ้ล “Please Please Me” และ “From Me To You” ไม่สามารถเข้าไปอยู่ใน Hot 100 ได้นั่นเอง......พวกเขาจึงต้องกลับไปเจรจากับทางค่ายเดิมต่อ (Vee-Jay Records)

จาก "ฝันร้ายกลางวันแสกๆ" จนถึง "อยู่ถูกที่ถูกเวลา"

ช่วงเวลานั้นทาง Vee-Jay Records เริ่มประสบปัญหาทางการเงิน จากยอดขายที่ไม่ได้ตามเป้า บริษัทที่เข้ามารับช่วงต่อคือค่าย Swan Records แต่เป็นสัญญาระยะสั้น ให้มีสิทธิ์ดูแลเฉพาะซิงเกิ้ล “She Loves You” ซิงเกิ้ลเดียวในอเมริกา (หน้า B เพลง “T’ll Get You”)

และดูเหมือนว่า ทาง Swan Records ก็ต้องประสบชะตากรรมเดียวกันกับ Vee-Jay Records ทำยอดขายได้แย่กว่าในตอนต้นๆ ขายได้เพียง 1,000 แผ่น และดูเหมือนหนทางที่ The Beatles จะทำตลาดในอเมริกาคงจบสิ้นไปด้วย

ในขณะที่อีกฟากหนึ่งของแอตแลนติค(UK) ซิงเกิ้ล “She Loves You” ทำยอดขายทะลุเกิน 1 ล้านแผ่นในอังกฤษ นั่นคือช่วงเดือนพฤศจิกายน ปี 1963 ซึ่งนำไปสู่การออกสกู๊ปข่าวพิเศษความยาว 5 นาทีเกี่ยวกับ“กระแส Beatlemaniaในอังกฤษ” ทางช่อง CBS Morning News ในอเมริกา ซึ่งกระแสตอบรับจากผู้ชมทางบ้านดีมาก (คลิปนี้มีเพียงบางส่วนให้เห็นเหตุการณ์ในวันนั้น ส่วนคลิปสกู๊ปข่าวจริงไม่อนุญาตให้เผยแพร่)

ทางสถานีจึงเตรียมออกอากาศอีกรอบในช่วงเย็น แต่ก็มาเกิดเหตุการณ์ลอบสังหารประธานาธิบดี John F. Kennedy ในช่วงเที่ยงวันนั้นพอดี.....ความฝันที่ The Beatles จะมาสร้างกระแสความนิยมในอเมริกาจึงต้องหยุดชะงักไปอีกครั้ง เห็นไหมครับว่า ดวงกำลังจะมาอยู่แล้วเชียว แต่กลับมีข่าวใหญ่กว่ามาบดบังเสียมิดเลย เพราะประธานาธิบดี John F. Kennedy เป็นที่รักของชาวอเมริกัน เป็นนักการเมืองหนุ่มไฟแรงมีอนาคต และเป็นที่สนใจจับตามองของคนทั่วโลก

แต่หลังจากที่ประเทศสหรัฐอเมริกาผ่านความโศกเศร้ามาได้ 2 สัปดาห์ ทาง CBS Morning News ก็นำเอาสกู๊ปข่าวพิเศษจากอังกฤษนี้ มาออกอากาศใหม่อีกครั้งในวันที่ 10 เดือนธันวาคม ท้องฟ้าเหนืออเมริกาที่ดูมืดมิดโศกเศร้า กลับเข้ามาสู่ความสดใสเริงร่าอีกครั้ง อาจจะเป็นเพราะในช่วงเวลานั้นชาวอเมริกันต้องการสิ่งที่จะมาเยียวยาอารมณ์และจิตใจให้หลุดพ้นจากความหมองเศร้าและทุกข์ตรมนั่นเอง และ Beatlemania ก็คือคำตอบเดียวที่มาถูกที่ถูกเวลาพอดี
 

เมื่อคนอเมริกันได้ฟัง “I Want To Hold Your Hand” ก่อน Capital Records

กระแสตอบรับจากคนอเมริกันดีมากมายอย่างไม่น่าเชื่อ หนึ่งในนั้นคือเด็กสาววัย 14 ปี ชื่อ "มาช่า" (Marsha Albert) หลังจากที่เธอได้ชมรายการข่าวในวันนั้น เธออยากฟังเพลงของ The Beatlesขึ้นมาทันที เธอเล่าว่า ในรายการข่าวนั้นเธอไม่ค่อยเห็นอะไรมากไปกว่าการได้ยินได้เห็น The Beatles ร้องเพลง “She Loves You” มันเป็นอะไรที่เพราะมาก (คลิปประกอบไม่เกี่ยวกับเรื่องที่เล่าโดยตรง)

"พวกเขาต้องดัง(ในUS)แน่นอน และถ้าดีเจคนไหนสามารถหาเพลงฮิตของ The Beatles มาเปิดตอนนี้ได้ มันจะเป็นอะไรที่เยี่ยมมาก" มาช่าพูดทิ้งท้าย

เมื่อ Carroll James ผู้จัดรายการเพลงทางคลื่น AM “WWDC” ในกรุงวอชิงตันได้ยินดังนั้น เขาจึงรีบติดต่อแผนกโปรโมชั่นของสถานี นำเข้าซิงเกิ้ล“I Want To Hold Your Hand”จากอังกฤษมาเปิดในรายการวิทยุก่อนใครเพื่อน

WWDC-AM disc jockey Carroll James, with fan Marsha Albert (ถ่ายด้วยกัน ตอนมาช่าโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว)

เมื่อแผ่นซิงเกิ้ลมาถึง เขาจึงติดต่อมาช่า ให้มาที่สถานีวิทยุเพื่อแนะนำเพลง เธอพูดผ่านไมค์ว่า "Ladies and gentlemen, for the first time on the air in the United States, here are the Beatles singing 'I Want to Hold Your Hand.'" (ท่านสุภาพสตรีและท่านสุภาพบุรุษ นี่เป็นการออกอากาศครั้งแรกในสหรัฐอเมริกาที่ The Beatlesร้องเพลง "I Want To Hold Your Hand")

วันนั้นเรตติ้งของสถานีดีมาก มีผู้ฟังทางบ้านโทรมาขอให้เปิดทั้งวัน สร้างความประหลาดใจให้กับสถานี เพราะปกติกลุ่มผู้ฟังจะเป็นผู้ใหญ่ ซึ่งฟังเพลงแนวของ Andy William หรือไม่ก็ Bobby Vinton ไม่ใช่เพลงแนว Rock and Roll แบบนี้ และเพื่อป้องกันไม่ให้สถานีอื่นแอบบันทึกเพลงนี้ แล้วนำเอาไปเปิดต่อ ดีเจหนุ่มจึงพูดระหว่างออกอากาศว่า “พิเศษจาก Carroll James”
 

บทจะดัง อะไรก็ห้ามไม่อยู่ (การเจรจาครั้งที่ 3)

กลับมาทางฝั่ง George Martin และ Brian Epstein บ้าง เมื่อทั้งคู่ได้กลิ่นความดังของเพลง "I Want To Hold Your Hand"ในอเมริกาอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน พวกเขาจึงใช้โอกาสนี้ติดต่อเข้าพบ Jay Livingstone นายใหญ่แห่งค่าย Capital Records เป็นครั้งที่ 3 (ครั้งสุดท้าย) ทันที

Brian Epstein กับ George Martin

ครั้งนี้นายใหญ่เห็นชอบทันที ไม่ต้องคุยกันให้เมื่อยปากเหมือนครั้งก่อนๆ แถมยังขอให้เลื่อนวางจำหน่ายซิงเกิ้ลเพลงนี้ให้เร็วขึ้น 2 อาทิตย์ จากที่วางไว้ 13 มกราคม ปี 1964 ตามแผนเดิมให้ขยับขึ้นมาเป็นวันที่ 26 ธันวาคม ปี 1963 แทน เพื่อฉวยโอกาสทองนี้ไว้ เป็นไปตามคาด ซิงเกิ้ลเพลง “I Want To Hold Your Hand” ขายได้ถึง 250,000 ชุดใน 3 วันแรก จนทางCapital Records ผลิตไม่ทัน ต้องส่งให้ทาง Columbia Records และ RCA ช่วยผลิตให้ด้วย

และในที่สุด เพลง“I Want To Hold Your Hand” ของ The Beatles ก็ขึ้นอันดับ1 ในอเมริกาได้สำเร็จ (นานถึง 7 สัปดาห์) ในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ปี 1964 กลายเป็นซิงเกิ้ล #1 เพลงแรกของThe Beatlesในอเมริกา ก่อนที่จะโดนเพลงของตัวเอง “She Loves You”มาแย่งอันดับ 1 ไป (Swan Records โหนกระแส Beatlemania โดยการปล่อยซิงเกิ้ล “She Loves You”ออกมาวางขายใหม่อีกครั้ง)

เฉพาะในอเมริกา ซิงเกิ้ล “I Want To Hold Your Hand” ขายได้ถึง 5 ล้านแผ่น กลายเป็นซิงเกิ้ลที่ขายดีที่สุดของปี 1964 และเป็นปีเริ่มของยุค “British Invasion”ในอเมริกา

บทความ 3 ตอนจบของเรื่องนี้ เปิดตัวด้วยเพลง “I Want To Hold Your Hand” แล้วก็มาปิดท้ายในตอนนี้ด้วยเพลง “I Want To Hold Your Hand” เป็นการวนกลับมาอีกรอบ ครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่ว่าจะผ่านไปอีกกี่สิบปี ก็จะมีคนอื่นๆมารับช่วงเล่าต่อ ไม่มีวันจบสิ้น......เพราะ The Beatles คือ The Beatles นั่นเอง....

วี welove / 28 April 20

ข้อมูลบางส่วนจาก Wikipedia และหนังสือ “Shout!” โดย Philip Norman พิมพ์ล่าสุดปี 2005

ชอบกดไลค์ ใช่กดแชร์ (ด้านล่าง)

ติดตามทางไลน์ คลิกปุ่ม"เพิ่มเพื่อน"(ด้านบน)

ติดตามทางเพจ Facebook

ติดตามทาง Line

ติดตามทางเว็บไซต์ welovechannel.info

    35