วี welove

เม.ย. 142 นาที

ซิงเกิ้ลแรกของ Bee Gees (1967) ดังได้เพราะ The Beatles จริงหรือ?

NEW YORK MINING DISASTER 1941 (HAVE YOU SEEN MY WIFE, MR. JONES) ซิงเกิ้ลแรกของ Bee Gees ในอเมริกา ออกวางตลาดวันนี้ในปี 1967 (พ.ศ. 2510)

ผมกำลังพูดถึงเพลง "New York Mining Disaster 1941" ซิงเกิ้ลแรกของ Bee Gees ที่เข้าสู่ Top 100 ในอเมริกา พร้อมๆกับติดชาร์ต Top 20 ในอังกฤษ นี่คือจุดเริ่มต้นที่สำคัญของวง Bee Gees ก่อนที่พวกเขาจะเป็นวงตำนานระดับแถวหน้าในยุค 70s

แต่ว่าพวกเขาดังได้เพราะ The Beatles จริงหรือ? เรื่องราวที่จะเขียนให้อ่านต่อไปนี้ มีคำตอบรออยู่แล้วครับ ก่อนอื่นเราไปย้อนรอยเรื่องราวของThe Bee Gees ช่วงที่เดินทางย้ายกลับมาอยู่อังกฤษกันก่อน นั่นคือจุดเริ่มต้นอันยิ่งใหญ่ของ Bee Gees งั้นเราไปค้นหาเรื่องราว เบื้องหลังของเพลงนี้กันต่อเลยครับ..

การเริ่มต้นใหม่ที่อังกฤษ

ย้อนกลับไปในช่วงหลังปีใหม่ 3 วันของปี 1967 ครอบครัวตระกูล"Gibb" พร้อม Ossie Byrne โปรดิวเซอร์เดินทางกลับอังกฤษ พวกเขาเดินทางมากับเรือชื่อ "Fairsky" โดย 3 พี่น้อง "Bee Gees" เสนอจะร้องเพลงและเล่นดนตรีบนเรือแลกกับค่าเดินทางทั้งหมด ใช้เวลาเดินทางร่วมเดือนจนกระทั่งมาถึงท่าเรือเมืองเซาต์แธมป์ตัน ประเทศอังกฤษในวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 1967

หลังผ่านออดิชั่น 3 พี่น้อง "Bee Gees" ก็ได้เซ็นสัญญาเป็นศิลปินในสังกัด Robert Stigwood Organization (RSO) โดยมี Robert Stigwood เป็นผู้จัดการวง งานแรกของพวกเขาคือช่วยร้องเป็นแบคอัพให้กับ Billy J. Kramer and the Dakota ในเพลง "Town of Tuxley Toymaker, Part 1" เมื่อวันที่ 4 มีนาคมปี 1967 เป็นเพลงที่สามพี่น้อง "Bee Gees" แต่งไว้ตอนสมัยอยู่ออสเตรเลียในปี 1966

เพลง "New York Mining Disaster 1941 คือเพลงแรกที่ Bee Gees เขียนหลังจากกลับมาถึงอังกฤษ และได้บันทึกเสียงของตัวเองเป็นครั้งแรกกับเพลงนี้พร้อมๆกับเพลงอื่นๆอีก 3 เพลงรวมถึงเพลง "I Can't See Nobody" ในวันที่ 7 มีนาคมปีนั้น

เพลงแรกพวกเขาใช้เวลาบันทึกเสียงถึง 6 takes โดยเป็นการร้องคู่กันของ Barry Gibb (เสียงร้องปกติ) กับ Robin Gibb (เสียงประสานสูง) ส่วนเสียงชุดออเคสตร้านำมามามิกซ์ใส่ทีหลังในวันที่ 13 มีนาคมและกลายเป็นซิงเกิ้ลแรก (Polydor Records) ของวง The Bee Gees ที่เข้าตารางอันดับ Billboard Top 100 (สัปดาห์แรกที่อันดับ 79) ในปี 1967 และเริ่มทำให้วง Bee Gees เริ่มเป็นที่รู้จักกันทั่วโลก โดยขึ้นไปสูงสุดที่อันดับ 14 ในอเมริกา ส่วนในอังกฤษอยู่ในระดับ Top 40 ที่อันดับ 12

เพลง "New York Mining Disaster 1941" เป็นซิงเกิ้ลแรกจากอัลบั้มชุดที่ 3 ที่ชื่อ Bee Gees' 1st ซึ่งเป็นอัลบั้มแรกของ Bee Gees ที่วางขายทั่วโลก ( 2 อัลบั้มก่อนหน้านั้น ขายเฉพาะในออสเตรเลียและนิวซีแลนด์)

เพลงพูดถึง?

เพลงนี้เล่าถึงคนงานเหมืองแร่คนหนึ่งที่ติดอยู่ใต้ดินในเหตุการณ์เหมืองถล่ม สิ่งที่เขาภาวนาในช่วงเวลานั้นคือต้องการติดต่อกับภรรยา เพื่อให้รับรู้ว่าเขายังมีชีวิตอยู่

แต่เหตุการณ์ในเพลงไม่ใช่เรื่องจริง เป็นเพียงเรื่องแต่ง แต่ทว่าเหตุการณ์เหมืองถล่มที่กรุงนิวยอร์คนั้นเคยเกิดขึ้นจริงแต่เป็นในปี 1939

จากชื่อเพลง พูดถึงเรื่องราวโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นในเหมืองใต้ดิน กรุงนิวยอร์คในปี 1941

เรื่องราวของคนงานที่ติดอยู่ใต้ดินโดยมี Mr. Jones เพื่อนร่วมงานยืนอยู่ข้างๆ เนื่อเพลงว่าไว้อย่างนี้ :-

"มีเหตุบางอย่างเกิดขึ้นกับผม

มีบางสิ่งที่ผมอยากให้เห็น

เป็นภาพถ่ายของคนรู้จัก

'มิสเตอร์โจนส์ คุณเห็นภาพภรรยาผมไหม?'

'รู้ไหม ข้างนอกกำลังทำอะไรกันอยู่?'

'อย่าส่งเสียงดัง ดินจะถล่มได้ มิสเตอร์โจนส์'

ผมได้ยินเสียง อาจจะเป็นเสียงคนกำลังขุดดิน

หรือเสียงคนกำลังล้มเลิกการช่วยเหลือ และพากันกลับบ้าน

คงนึกว่าไม่น่ามีใครรอด"

จินตนาการจากอีกเหตุการณ์หนึ่ง

ตอนเขียนเพลงนี้ Barry กับ Robin Gibb นั่งอยู่ตรงโถงบันไดมืดๆในอาคารห้องอัดเสียงของ Polydor Records ซึ่งบรรยากาศค่อนข้างเงียบ ระหว่างนั้นพวกเขาได้ยินเสียงลิฟท์ขึ้นลงในตึก ทำให้พวกเขารู้สึกติดอยู่ใต้ดินในเหมืองเช่นกัน จึงเป็นที่มาของการสร้างจินตนาการเหตุการณ์เหมืองถล่มที่กรุงนิวยอร์ค ในปี 1941

แต่แรงบันดาลใจไม่ใช่เหตุการณ์เหมืองถล่มที่กรุงนิวยอร์คในปี 1939 แต่เป็นเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้นในหมู่บ้าน Alberfan ในเมือง South Wales ประเทศอังกฤษในปี 1966 โดยมีคนตายทั้งหมด 144 ศพซึ่งส่วนมากเป็นเด็ก (116 ศพ) เพราะเหตุการณ์ดินถล่มครั้งนั้นเกิดขึ้นใกล้กับโรงเรียนสอนเด็กเล็ก จึงน่าเศร้าใจเกินจะบรรยาย....

เพลงนี้เป็นเพลงแรกของวง The Bee Gees ที่มีมือกลองชื่อ Colin Petersen ชาวออสเตรเลีย มาช่วยเล่น และเป็นสมาชิกวงด้วย และอีก 2 ปีให้หลัง เขาก็ออกจากวงไป....

แผนโปรโมทเพลงทำให้เข้าใจว่าเป็น "Beatles"

ช่วงที่เพลงนี้ออกมาใหม่ๆ หลายคนรวมถึงดีเจตามรายการวิทยุ ต่างคิดว่าเป็นเพลงของ The Beatles เพราะเข้าใจว่า "Bee Gees" ตัวย่อคือ "BG" ย่อมาจาก "Beatles Group"...อย่าลืมว่าช่วงเวลานั้นเรื่องราวของ Beatles มีการสร้างเรื่องให้ชวนติดตามมากมาย ทั้งจริงและไม่จริง และเรื่องนี้ก็เช่นกัน

รวมถึงช่วงเวลานั้นทั้ง Brian Epstein ผู้จัดการของ The Beatles กับ Robert Stigwood ผู้จัดการของ Bee Gees มีดีลทางธุรกิจไปมาหาสู่กันบ่อย ยิ่งทำให้เข้าใจผิดไปกันใหญ่

ไม่เพียงเท่านี้ Atco ผู้แทนจำหน่ายในอเมริกา นำแผ่นซิงเกิ้ลมาให้กับดีเจหลายแห่งช่วยโปรโมท (ป้ายฉลากบนแผ่นโปรโมตจะไม่มีชื่อวง)โดยบอกแต่เพียงว่า เป็นซิงเกิ้ลใหม่ของวงที่ขึ้นต้นด้วยตัว "B" และลงท้ายด้วยตัว "S" และมาจากประเทศอังกฤษ

"They’re this new group from England that begins with a B and finishes with an S’ so they all said, ‘Ah, it’s The Beatles" - Maurice Gibb

ลองคิดดูว่าดีเจจะคิดถึงวงอะไรก่อน (ในยุคนั้น) และเมื่อเปิดฟัง พวกเขาจะนึกถึง The Beatles ด้วยเหตุนี้พวกดีเจจึงเอาเพลงนี้มาเปิดในรายการค่อนข้างบ่อย พร้อมกับตั้งคำถามให้ทายชื่อวงกันสนุก มีแฟนรายการตอบกลับมาล้นหลาม แสดงว่าแผนการตลาดได้ผล

ทำไมชื่อเพลงจึงต้องมีชื่อในวงเล็บ?

อย่างไรก็ตามเหล่าดีเจจะเรียกชื่อเพลงนี้โดยมีวงเล็บตามหลังว่า "New York Mining Disaster 1941 (Have You Seen My Wife, Mr. Jones?)" เพื่อให้คนฟังสามารถสื่อสารกับร้านขายแผ่นเสียงได้เข้าใจง่าย เนื่องจากชื่อเพลง "New York Mining Disaster 1941" ไม่ปรากฏอยู่ในเนื้อร้องนั่นเอง..

BeeGees ที่ไม่เหมือน The Beatles อีกต่อไป

นับเป็นแผนการตลาดที่อาศัยชื่อเสียงของ The Beatles ได้ผลจนน่าประหลาดใจ แม้แต่ Bee Gees ก็ยังยอมรับว่าเพลงนี้ดังเพราะ The Beatles และแอบปลื้มอยู่ในใจที่ยกให้ผลงานของพวกเขาเทียบเท่ากับงานของ The Beatles และจากการเข้าใจผิดครั้งนี้ทำให้พวกเขามุ่งมั่นทำเพลงที่ต่างไปจาก The Beatles โดยสิ้นเชิง

"To us it was an honour, to actually think we were as good as The Beatles.” - Maurice Gibb

“มันเป็นผลดีกับพวกเรา ทุกคนคิดว่ามันคือ The Beatles ภายใต้ชื่ออื่น และเหล่าดีเจทางสถานีวิทยุในอเมริกาต่างหยิบขึ้นมาเปิด คิดว่าเป็น The Beatles และมันก็ฮิตตามนั้น" Robin Gibb เล่าให้ฟัง

“It was good for us because … everyone thought it was The Beatles under a different name, and all the deejays on radio stations in the US picked it up immediately thinking it was The Beatles, and it was a hit on that basis.

และความรู้สึกนี้มันฝังใจพวกเขาในช่วงแรกๆของการทำเพลง สิ่งนี้จึงทำให้พวกเขามีความกล้าที่จะทำเพลงออกมาแบบไม่ให้มีความใกล้เคียงกับเพลงของ The Beatles อีกต่อไป จนสร้างชื่อความเป็น Bee Gees ตราบจนทุกวันนี้

วี welove / 14 April 2018 (updated 2023/29024)

ติดตามทางเพจ Facebook

ติดตามทาง Line

ติดตามทางเว็บไซต์ welovechannel.info

เครดิตบางส่วนจาก Wikipedia


 

    40