วี welove
มี.ค. 161 นาที
เส้นทางดนตรีของ Led Zeppelin กับ The Beatles แทบจะใกล้เคียงกัน กล่าวคือทั้งคู่ต่างขึ้นสู่จุดสูงสุดได้ในเวลาอันรวดเร็ว เป็นวงอันดับ1 ในยุคของตัวเอง และไม่สามารถต่อยอดไปไกลได้ ทั้งๆที่ศักยภาพและความสามารถของวงยังคงมีเหลือล้น เนื่องจากต้องยุบวงนั่นเอง
ในกรณีของ The Beatles เป็นเพราะความแตกแยกภายในวง ซึ่งค่อยๆก่อตัวขึ้นในปลายยุค 60s และจบลงในต้นยุค 70s (ปี1970) ทั้งพอล,จอห์น และจอร์จต่างอยากออกไปทำผลงานเดี่ยว แต่สำหรับวง Led Zeppelin พวกเขาต้องสูญเสีย John Bonham มือกลองอย่างคาดไม่ถึงในช่วงต้นยุค 80s (ปี 1980)
วันนี้เราไปฟังมุมมองของ John Bonham ผู้จากไป เกี่ยวกับภาพของวง "Led Zeppelin" กับวง "The Beatles" ในยุคบุกเบิก จะใกล้เคียงกันหรือแตกต่างกัน เราไปติดตามอ่านกันต่อเลยครับ
ช่วงที่วง Led Zeppelin กำลังดัง (ปลายปี 1969) เป็นช่วงที่วง The Beatles กำลังจะแตกวงพอดี (ต้นปี1970) และทั้ง 2 วงถือว่าเป็นวงระดับแถวหน้าในยุคของตัวเอง การขึ้นแท่นเป็นวงอันดับ 1 อย่างรวดเร็วและมีผลงานเพลงและอัลบั้มที่ได้รับความนิยมออกมาอย่างต่อเนื่อง จึงเลี่ยงไม่ได้ที่จะนำ 2 วงนี้มาเปรียบเทียบกัน แม้แนวเพลงจะต่างกันพอสมควร
แต่คนที่เห็นความแตกต่างกันของทั้ง 2 วงไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็น "John Bonham" มือกลองของวง Led Zappelin ผู้ล่วงลับ เขาบอกว่าช่วงที่ Led Zeppelin ขึ้นเป็นวงเบอร์หนึ่งของยุค 70s แฟนเพลงของพวกเขาจะให้ความสนใจฝีมือการนำเสนอเพลงมากกว่าภาพลักษณ์วง เพราะเสียงเพลงที่มหัศจรรย์ไม่เหมือนใครทำให้น่าค้นหา และน่าติดตาม
ในขณะที่แฟนเพลงของสี่เต่าทองจะให้ความสนใจภาพลักษณ์ของวง และสมาชิกวงแต่ละคน ที่ดูแปลกตา ทั้งทรงผมและการแต่งตัวเมื่อเทียบกับศิลปินอื่นๆก่อนหน้านั้น จะเห็นได้ว่าแฟนเพลง คนทั่วไป หรือแม้แต่ศิลปินในยุคนั้นหันมาไว้ทรงผมเดียวกับพวกเขา
นักข่าว BBC ถาม John Bonham ต่อไปว่า "อย่างเพลง "Yesterday" สามารถนำมาเล่นได้หลากหลาย หรือแม้กระทั่งผิวปาก แต่จะมีเพลงไหนของ Led Zeppelin ที่ทำได้แบบนั้นได้"
John Bonham ตอบว่า
"ไม่นะ แต่ผมคิดว่ามันเปลี่ยนไปแล้ว นั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไมสิ่งตอบแทนถึงมีการเปลี่ยนแปลง เพราะเด็กรุ่นใหม่ก็กำลังเปลี่ยนแปลงสำหรับการเริ่มต้น ดนตรีก็เช่นกัน มีบทเพลงที่นอกเหนือไปจากเพลง ‘Whole Lotta Love’ ที่เล่นกับวงออเคสตร้าก็ฟังดูน่าสนใจนี่ครับ"
John Bonham ชี้ให้เห็นความต่างของวง Led Zeppelin กับ The Beatles ว่า
"ในยุคสมัยนี้ (ยุค70s) เราเรียกคนที่มาชมคอนเสิร์ตว่า "the public" เพราะประกอบด้วยคนหลายวัยหลากหลายอาชีพ พวกเขามาดูพวกเราเล่นดนตรี ไม่ใช่มาดูพวกเราหรือเฝ้าดูสิ่งที่เราเป็น เราจะไม่เรียกคนดูว่า "kids" เหมือนสมัยนั้น(ยุคต้น 60s) ซึ่งคนดูจะเป็นพวกวัยรุ่นวัยเด็กที่สนใจแต่จะดูนักดนตรี"
“These days, let’s say the public — let’s not just say ‘kids’ because we’ve had all sorts of people at our concerts. They’re coming to listen to what you’re playing and not just to look at you and see what you are.” - John Bonham
เรื่องนี้เราคงเห็นด้วยจากการสังเกตในหลายคอนเสิร์ตยุคแรกๆของThe Beatles แทบจะไม่ได้ยินเสียงเพลงที่พวกเขาเล่นเลย เพราะแฟนเพลงเอาแต่กรีดร้องแข่งกับเสียงดนตรี
John Boham อธิบายต่อโดยยกประสบการณ์ส่วนตัวในยุคนั้นให้ฟังว่า
"ย้อนไปในวันนั้น ผมจำได้ วันที่ไปดู The Beatles เล่น ทุกคนไปที่นั่นเพื่อจะไปดู "The Beatles" ตัวจริง ไม่มีใครสนใจเสียงเพลงของพวกเขาด้วยซ้ำ แต่สมัยนี้เขาไม่ได้สนใจว่าคุณเป็นใคร พวกเขาสนใจเพลงที่คุณเล่นมากกว่า"
"Now, it’s not what you are; it’s what you’re playing.” (สมัยผมเหรอ (คนมาดูคุณแสดง) ไม่ได้มาดูเพราะคุณคือใคร แต่มาดูสิ่งที่คุณแสดงต่างหาก) - John Bonham
พวกเขาทั้งคู่เป็นตำนาน...เพราะชีวิตจริงมักอยู่ได้ไม่นาน แต่การถูกเล่าขานต่างหากที่จะเป็นอมตะตลอดไป..ด้วยความคิดถึง The Beatles, Led Zappelin พวกคุณคือตำนาน!
วี welove / 18 March 2023 (updated 2024)