วี welove

27 มิ.ย. 20232 นาที

"Elvis is in the building" : คอนเสิร์ตยุค 70s ของ Elvis ที่หลายคนยังไม่รู้จริง

อัพเดตเมื่อ: ม.ค. 20

วันที่ 26 มิถุนายนในปี 1977 เป็นวันสุดท้ายที่ Elvis Presley แสดงคอนเสิร์ต หรือผ่านไปนาน 46 ปีพอดีพร้อมๆกับการจากไปของเขาในอีก 2 เดือนต่อมา ช่วงเวลานี้ผมจึงขอย้อนรำลึกถึง Elvis กับเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับคอนเสิร์ต ซึ่งมีเรื่องราวให้พูดถึงพอสมควร และอาจจะเป็นเพจเดียวที่พูดถึงเรื่องราวเหล่านี้ได้ลึกถึงแก่น งั้นไปติดตามอ่านกันต่อเลยครับ

ตลอดระยะเวลา 8 ปีที่ Elvis ออกแสดงคอนเสิร์ตทั้งในเวกัสและทั่วอเมริกา นับตั้งแต่หยุดเล่นหนังและกลับมาแสดงคอนเสิร์ตในรอบ 12 ปีโดยเริ่มวันแรกเมื่อวันที่ 31 กรกฏาคมปี 1969 ที่ International Hotel จวบจนวันสุดท้ายในวันที่ 26 มิถุนายนปี 1977 ที่ Market Square Arena นับแล้วรวมทั้งสิ้น 1,137 โชว์ (เฉลี่ยทุกๆ 2 วันครึ่งเราจะเห็น Elvis บนเวทีในที่ต่างๆ) ไปดูกันว่า Elvis มีความสุขมากขึ้นจริงไหม?

จุดเริ่มต้น

ความสำเร็จของรายการโชว์ทางทีวี "The '68 Comeback Special" ทำให้ Elvis ได้กลับมาสู่เส้นทางการแสดงสดอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เป็นการแสดงสดประจำที่ อย่างที่เรารู้กันคือที่ลาสเวกัส เรื่องนี้ Elvis เคยบอกไว้ว่า ถ้าผู้พันปาร์คเกอร์ออกปากเองแล้ว ย่อมหมายถึงว่าเรื่องนั้นต้องเกิดขึ้นในไม่ช้า

ผู้พันปาร์คเกอร์เคยเอ่ยถึงรายการ "The '68 Comeback Special" กับเขาว่า

“You know, what you did on the show we can do in Vegas.” (นายรู้ไหม สิ่งที่นายแสดงในโชว์นั้น เราเอาไปใช้ในเวกัสได้นะ)

รายการ '68 Comeback Special การกลับมาของ Elvis

อย่างที่เรารู้กันในช่วงเวลานั้น Elvis เริ่มเบื่อกับการแสดงหนังเป็นอย่างมาก แต่ต้องแสดงเพราะผู้พันปาร์คเกอร์ไปทำสัญญาไว้อย่างนั้น และเมื่อผู้พันปาร์คเกอร์รู้สึกได้ว่า Elvis เต็มทนกับเรื่องนี้แล้ว เขาจึงต้องทำอะไรบางอย่าง นั่นคือปูเส้นทางสู่เวกัสและการออกทัวร์คอนเสิร์ต ซึ่งแน่นอนว่า Elvis พอใจเป็นอย่างมากที่ได้หลุดพ้นจากวงการภาพยนตร์

หนีเสือปะจระเข้

ระดับ Elvis แล้วต้องไม่ธรรมดา ผู้พันปาร์คเกอร์จึงจัดหนัก เพราะผู้ที่ได้ประโยชน์อย่างแท้จริง ปฏิเสธไม่ได้ว่าผู้พันปาร์คเกอร์มีแต่ได้กับได้ สัญญาที่ทำไว้กับโรงแรมในเวกัสมีการแสดงต่อเนื่องถึง 4 อาทิตย์ต่อเนื่อง คืนละ 2 รอบ แน่นอนว่าเป็นงานหนักสำหรับ Elvis และทีมงานอย่างแน่นอน ไม่เคยมีศิลปินหรือนักดนตรีคนไหนต้องเจออะไรแบบนั้น เพราะคนอื่นๆมาเล่นเพียงแค่ 3-4 วัน หรือมากสุดอาทิตย์เดียวก็ย้ายไปเล่นที่เมืองอื่นต่อ แต่พวกเขาไม่ใช่ เป็นอะไรที่ Elvis ไม่ชอบเอามากๆ

ด้วยเหตุนี้ Elvis จึงต้องหันมาพึ่งยา จะได้แสดงอย่างต่อเนื่องได้ สุขภาพของ Elvis จึงทรุดโทรมและทำให้เขาต้องจากไปเร็วกว่าที่ควรเป็น คงปฏิเสธไม่ได้ว่าเวกัสคือตัวเร่งสำคัญในระยะยาวที่มีส่วนทำให้ Elvis เสียชีวิตเร็วกว่าเวลาอันควร

รายได้จากการแสดง

การแสดงของ Elvis ในเวกัสแต่ละครั้ง สามารถเรียกผู้ชมได้ถึง 5000 คนต่อคืน(รอบละ 2,500 คน) ผู้ที่ได้ประโยชน์เป็นกอบเป็นกำคงเป็นเจ้าของสถานที่หรือโรงแรม เพราะ Elvis จะได้เงินแบบตายตัวคือ $125,000 ต่อสัปดาห์ โดยไม่ได้รับส่วนแบ่งเปอร์เซ็นต์จากการขายบัตร ซึ่งเมื่อหมดสัญญา แน่นอนว่า Elvis ไม่ไปต่อ เพราะรู้สึกว่าตัวเองโดนเอาเปรียบ (คนที่ได้ประโยชน์เดาว่าต้องเป็นผู้พันปาร์คเกอร์ด้วย)

การเตรียมตัวก่อนการแสดง

Elvis ไม่มีพิธีการใดเพื่อสร้างความมั่นใจก่อนขึ้นแสดง นอกจากวอร์มอัพด้วยการร้องเล่นกับเปียโน เขามักจะร้องประสานในขณะที่ Lamar Fike เพื่อนสนิทจะช่วยร้องนำ และก่อนการแสดง Elvis จะดื่มชาร้อน และนำ้ผึ้งผสมมะนาว ส่วนเรื่องของเวลา Elvis จะตรงต่อเวลามาก ดังนั้นทีมงานของเขาก็จะไม่มีปัญหาเรื่องเวลาเช่นกัน

การเตรียมตัวก่อนออกทัวร์คอนเสิร์ต

Elvis ไม่ค่อยจะซ้อมอะไรมากมายก่อนจะถึงวันออกทัวร์คอนเสิร์ต ยิ่งในสถานที่จริงแล้ว Elvis ไม่เคยซักซ้อมก่อนการแสดงที่นั่น ไม่เคยซาวด์เช็คอะไรทั้งสิ้น มาถึงก็ขึ้นโชว์ทันทีอย่างที่เราเห็นในคลิปทัวร์คอนเสิร์ตของเอลวิสตามที่ต่างๆ จนบางครั้งก็มีบ้างที่ Elvis จะมีปัญหากับเรื่องแสงไฟบนเวที ซึ่งไม่สามารถแก้ไขได้ในรอบนั้น

ทีมงาน

ทีมงานทัวร์คอนเสิร์ต Elvis ของมีทั้งหมด 73 คน Joe Guercio ควบคุมส่วนออเคสตร้า ทั้งหมดเดินทางด้วยรถบัส ส่วนอุปกรณ์เครื่องไม้เครื่องมือโครงสร้างจะอาศัยรถพ่วง 2 คันเครื่องบิน 3 ลำ และจะใช้พื้นที่ทั้งหมดของโรงแรมในส่วนชั้นล่าง ส่วนนักดนตรีจะอยู่ชั้นที่สูงกว่า และไม่เกี่ยวข้องกัน ต่างคนต่างหน้าที่

ห้องนอนของ Elvis

เวลา Elvis ออกทัวร์เขาจะยกห้องนอนไปกับเขาด้วย ดังนั้นบนเครื่องบินก็คือห้องนอนที่บินได้ ชุดสูททั้งหมด 30 ตัวก็จะถูกยกขึ้นเครื่องไปกับเขา โดยห้องใหญ่สุดจะอยู่ท้ายเครื่องบิน มีเตียงคิงไซต์

สำหรับในโรงแรม Elvis จะเช่าห้องใหญ่สุด และในห้องจะต้องไม่มีแสงลอดเข้ามาได้ในตอนเช้า เพราะเขาเกลียดแสงรบกวนในตอนเช้ามาก ลูกน้องจะต้องเตรียมเทปกาวและแผ่นฟอยด์เพื่อปิดม่านให้แนบสนิทกับผนัง

ถ้าคอนเสิร์ตมีขึ้นในเมืองเมมฟิส Elvis ไม่เคยคิดจะกลับไปพักที่ Graceland แต่จะพักที่โรงแรม Rivermont ริมแม่น้ำแทน เขาไม่ต้องการความรู้สึกเหมือนอยู่บ้าน และความคิดที่จะกลับไปเล่นที่บ้านเกิด แทบไม่ต้องคิด เพราะเขาจะไม่ไปเล่นที่นั้นแน่นอน

การแต่งกาย

บางครั้งเราจะเห็น Elvis แต่งกายใช้ผ้าคุมไหล่ และไอเดีย "TCB" (Taking Care of Business) ที่มาของชื่อวงแบ็คอัพของ Elvis หรือแม้แต่รูปสายฟ้าที่มีชื่อย่อ "TCB" ตามเครื่องประดับหลายชิ้นที่ Elvis และสมุน Memphis Mafia ใส่โชว์ ก็มาจากกัปตันมาร์เวล (Captain Marvel) ซึ่งเป็นการ์ตูนที่ Elvis ชอบสมัยเด็ก

สำหรับเครื่องประดับสำหรับสาวๆ Elvis ก็ไม่ได้มองข้าม เขาคิดคำและออกแบบสัญญาลักษณ์ "TLC" มาพร้อมกับรูปสายฟ้า ซึ่งย่อมาจากคำว่า "Tender Lovimg Care"

ส่วนปกคอยกสูงที่เป็นหนึ่งในเอกลักษณ์ของ Elvis เอลวิสเป็นคนออกแบบเอง เพราะไม่ต้องการให้ใครเห็นหลังคอเช่นเดียวกับดารารุ่นใหญ่อย่าง Gable และ Lancaster พวกเขาจะพับปกคอขึ้น

เขียนมาตรงนี้ อาจจะไม่เกี่ยวกับคอนเสิร์ตช่วงเวกัส แต่หลายคนคงอยากรู้เกี่ยวกับชุด lamé suit สูทสีทองของ Elvis ในยุคต้นๆ ผมจึงนำมาเขียนให้อ่านตรงนี้ด้วย

เสื้อสูทสีทองบนปกอัลบั้มชุดหนึ่งของ Elvis ที่แฟนเพลงคุ้นตาและชื่นชอบกันมาก รู้ไหมว่าเป็นไอเดียทางการตลาดของผู้พันปาร์คเกอร์ มันสร้างออร่าให้ Elvis เป็นดารายิ่งกว่าดารา

Elvis กับชุดสูทสีทองในตำนาน

แต่ตัว Elvis เองกลับไม่ชอบชุดนี้เลย เขาแทบจะใส่นับครั้งได้ เนื่องจากใส่แล้วร้อน ซึ่ง Elvis จะต้องใส่แจคเก็ตหนังข้างในอีกที อีกทั้งยังเป็นรอยยับง่าย และบางชื้นส่วนอย่างเหลื่อมสีทองที่เย็บติดกับกางเกงมักจะหลุดง่ายเวลาที่เขาโยกขา ทำให้ Elvis เลิกใส่ชุดนี้ไปเลยหลังจากใส่ได้ไม่กี่ครั้ง

บางคอนเสิร์ตเราจะเห็น Elvisใส่ชุดนี้เพียงครึ่งท่อนด้วยเหตุผลดังกล่าว และถ้าใส่เต็มชุด สีทองทั้งตัวจะทำให้ภาพโดยรวมดูฉูดฉาดเกินไป ซึ่งเป็นสิ่งที่ Elvis ไม่ค่อยชอบเช่นกัน

เพลงเปิดตัว Elvis

Elvis ชอบเพลงธีมของหนัง "2001: A Space Odyssey" (1968) เขาจึงนำมาใช้เป็นเพลงเปิดในทุกคอนเสิร์ต เขาแทบไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเพลงนี้ แม้แต่ชื่อเพลง "Also sprach Zarathustra" หรือใครเป็นเจ้าของ ซึ่งเป็นผลงานเก่าแก่ของ Richard Strauss ในปี 1896

ผู้ที่ให้ข้อมูลนี้กับทีมงานเอลวิสคือ Jill St. John นางเอกหนังเรื่อง "2002: A Space Odyssey" ที่ออกฉายในปี 1968 ซึ่งเธอมาชมคอนเสิร์ตของ Elvis ในวันที่เพลงนี้ถูกนำมาใช้ใหม่ๆ ซึ่งสร้างความประหลาดใจให้กับเธอเป็นอย่างมากเมื่อได้ยิน (ถ้าอยากฟังเสียงชัดๆคลิกตรงนี้เพื่อฟัง)

เพลงปิดท้าย

เป็นที่ทราบกันว่าเพลงปิดท้ายคอนเสิร์ตของ Elvis คือเพลง "Can't Help Falling In Love" แล้วทำไมถึงเป็นเพลงนี้ ?

จริงๆแล้วไม่มีอะไรซับซ้อน เป็นการโต้ตอบไปมาระหว่าง Elvis กับ Lamar Fike ผู้ติดตามคนสนิท Elvis ถามเขาว่าควรจะปิดโชว์ด้วยเพลงอะไรดี เขาบอกไปว่าใครๆก็ชอบเพลง "Can't Help Falling In Love With You" กันทั้งนั้น Elvis เห็นด้วยทันที เพราะตัวเขาเองก็คิดอยู่เหมือนกัน..แค่นั้นจริงๆ..

ถ้าใครได้ดูโชว์ของ Elvis จะเห็นว่าหลังจากที่เอลวิสร้องเพลงนี้จบ กลองจะขึ้นมาแบบเน้นๆ ตามมาด้วยเครื่องเป่าที่สอดรับอย่างลงตัว ฟังดูมีพลัง ทุกอย่างดูเร็วๆไปหมด พร้อมๆกับที่ Elvis รีบกลับขึ้นรถออกจากตัวอาคาร เป็นสิ่งที่ Elvis ชอบมาก

Elvis เคยรับงานไพรเวทปาร์ตี้ไหม?

ไม่ต้องลุ้น บอกได้เลยว่า ไม่เคยแม้แต่ครั้งเดียว แม้จะมีอภิมหาเศรษฐียอมจ่ายให้ก็ตาม ทีมงานไม่เคยประสานงานเกี่ยวกับเรื่องนี้ ไมว่าจะเป็นงานปาร์ตี้วันเกิด หรืองานใดๆ

อย่างที่เรารู้กันในยุค 60s Elvis ไม่เคยแสดงสดเลย ยกเว้นเล่นในหนัง เขาว่างเว้นจากการแสดงสดนานถึง 12 ปีนับตั้งแต่ปี 1957 ช่วงที่รับราชการทหาร

Elvis ไม่เคยออกงานแจกรางวัลอย่าง Oscar หรือ Grammy เพราะ..

เพราะงานแจกรางวัล ดาราศิลปินที่ไปร่วมงานจะไม่ได้ค่าจ้างค่าตอบแทน มีแต่เสียเงิน และแน่นอนว่าผู้พันทอมปาร์คเกอร์ไม่เห็นด้วยกับไอเดียนี้ เขาจึงไม่ยอมให้ Elvis ออกงานเหล่านี้ เพราะในความคิดของผู้พันปาร์คเกอร์ ทุกๆที่ที่ Elvis ไปจะต้องได้รับเงินเสมอ..

แต่ก็มีอยู่ครั้งหนึ่งที่เอลวิสหลงไป เพราะผู้จัดงานจะแจกรางวัล "Young Man of the Year" ให้กับเอลวิส คงไม่ต้องบอกว่ายุคไหนปีไหน นั่นเป็นวิธีเดียวที่พวกเขาจะได้เห็นเอลวิสตัวจริงโดยไม่ต้องจ่ายค่าจ้าง(แพง) งานนั้นทำเอาผู้พันทอมปาร์คเกอร์ถึงกับบ้าคลั่ง..

Elvis ชอบออกทัวร์คอนเสิร์ตไหม?

หลายคนคงฟันธงว่า Elvis คงชอบแน่นอน เพราะตั้งแต่ปี 1969 เป็นต้นมา Elvis ไม่เคยคิดจะหยุดแสดงคอนเสิร์ต แต่ความจริงแล้ว Elvis ชอบแค่ในตอนแรก แต่สุดท้ายแล้วเขากลับไม่ชอบเลย เขาเบื่อที่จะไปที่เดิมๆซ้ำๆ แต่ละปีต้องไปที่เดิมๆซ้ำ 3 ครั้ง Elvis เคยถามลูกน้องว่า "จะเล่นไปเพื่ออะไร?" เพราะไม่มีที่ใหม่ๆให้เล่นแล้ว..

แม้ว่าในแต่ละวันจะมีผู้จัดงานใหม่ๆติดต่อมา 30-40 ราย แต่ผู้พันปาร์คเกอร์ไม่เอาด้วยเพราะอยู่นอกอเมริกา มีคนรอชมที่บราซิลมากถึง 200,000 คน Elvis ต้องการจะไป เพราะเขาชอบอะไรที่ท้าทาย ชอบอะไรที่ใหม่ๆไม่จำเจ จะช่วยเติมพลังให้เขาไปในตัว แต่อย่างที่รู้กัน ถ้าผู้พันปาร์คเกอร์ไม่โอเคด้วยก็จบ..นั่นทำให้ Elvis เริ่มไม่ไหวกับผู้พันปาร์คเกอร์

Elvis ออกทัวร์คอนเสิร์ตบ่อยมาก และจะวนกลับไปเล่นที่เดิม ที่ละหลายๆครั้ง จน Elvis ยังงงเลยว่าตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน เขาไม่มีเวลาดื่มด่ำกับแต่ละสถานที่ๆเขาไป เขาเริ่มเบื่อเวกัส สถานที่จำเจสำหรับเขา ที่จะต้องเล่นที่เดิมๆทุกๆวันทุกๆสัปดาห์ คืนละ 2-3 รอบ..

"Elvis has left the building!"

และก็มาถึงบทสุดท้ายของวันนี้ ประโยคนี้เป็นประโยคขลังของ Elvis เป็นที่รู้กันว่าถ้าโฆษกบนเวทีพูดประโยคนี้ออกมา ก็จะหมายถึงตามนั้น เอลวิสไม่ได้อยู่ตรงนั้นแล้ว แฟนเพลงไม่ต้องนั่งรอนั่งลุ้นหรือวิ่งกรูเข้าไปรอด้านหลังเวที (คลิกฟังโฆษกบนเวทีพูดคำนี้ หรือนาทีที่ 3.18 )

เรื่องนี้เกิดขึ้นครั้งแรกในปี 1957 เกิดจาก Al Dvorin คนใกล้ชิดผู้พันปาร์คเกอร์พูดประกาศเพื่อไม่ให้แฟนเพลงวิ่งกรูเข้ามาด้านหลังเวทีหรือตรงทางออก เหมือนพูดหลอกล่อให้เข้าใจอย่างนั้น แต่ความจริงแล้วหมายถึงแบบนั้นจริงๆ ทุกอย่างเป็นไปด้วยความรวดเร็ว กว่าแฟนๆจะรู้ Elvis ก็ออกจากอาคารไปเรียบร้อยแล้ว

เดี๋ยวนี้ใครๆก็ใช้ประโยคนี้ จนกลายเป็นคำดาษดื่น ไม่ขลังเหมือนแต่ก่อน ซ้ำร้ายอาจจะฟังดูตลกล้อเลียน..ประโยคนี้คงเหมาะกับ Elvis เพียงคนเดียวจริงๆ.."Elvis has left the building!"

เนื้อหาทั้งหมดเป็นเรื่องจริง เพราะมาจากคำบอกเล่าของ Lamar Fike เพื่อนสนิทของ Elvis ที่รู้จักกันมาตั้งแต่ Elvis ยังไม่โด่งดัง จนตายจากกันไป เขาอยู่เคียงข้างกับเอลวิสตลอดทุกที่ทุกเวลา เป็นหนึ่งในแก็งค์ "Memphis Mafia"

Elvis กับ Lamar Fike เพื่อนสนิท

ขอจบเพียงเท่านี้ หวังว่าคงคุ้มค่ากับการรอคอยนะครับ เนื้อหาลักษณะนี้จะเป็นการเจาะลึกในรายละเอียด ในอนาคตข้างหน้าบทความนี้ อาจมีไว้ให้เฉพาะสมาชิกที่สนับสนุนเพจนะครับ ซึ่งทางเพจจะเปิดรับสมัครเร็วๆนี้ ใครที่ชอบอ่านอะไรแบบนี้ ต้องไม่พลาด ขอบคุณที่ติดตามด้วยดีเสมอมา..

วีWelove/ 27 June 2023

ติดตามทางเพจ Facebook

ติดตามทาง Line

ติดตามทางเว็บไซต์ welovechannel.info

    9