วี welove

1 ม.ค. 20231 นาที

เมื่อเพลงของ Simon & Garfunkel ถูกนำมาทำใหม่โดยเจ้าตัวไม่ทราบเรื่อง ขึ้นสู่อันดับ 1 วันนี้ในปี 1966

อัพเดตเมื่อ: 19 ม.ค. 2023

"The Sound of Silence" เพลงอันดับ 1 บน Billboard Hot 100 วันนี้ในปี 1966

เพลง "The Sound of Silence" อยู่ในอัลบั้มแรกของ Simon & Garfunkel ที่ชื่อ “Wednesday Morning, 3 AM” ออกมาในปี 1964 แต่ขายได้ประมาณ 2,000 แผ่นซึ่งถือว่าล้มเหลว ทั้งคู่จึงยุบวงต่างคนต่างแยกย้าย Art Garfunkel กลับไปเรียนต่อที่วิทยาลัย ส่วน Paul Simon บินไปหางานทำที่อังกฤษ

แต่เรื่องราวของเพลงนี้ไปจบลงเพียงแค่นั้น แต่ทำให้ทั้งคู่ต้องกลับมาต่อยอดความสำเร็จอีกขั้น จะอย่างไรนั้นเราไปตามอ่านกันต่อเลยครับ..

อย่างไรก็ตาม Columbia Records ยังคงหาช่องทางที่จะทำเงินกับอัลบั้มชุดนี้ พวกเขาจึงมอบหมายให้ Tom Wilsonโปรดิวเซอร์มือดีของ Bob Dylan ช่วยสานต่อโปรเจ็คนี้ และเขาค้นพบว่าเพลง “The Sound of Silence” ได้รับความนิยมจากจากคนฟังทางสถานีวิทยุแถบชายฝั่ง East Coast จึงวางแผนดันเพลงนี้ตัดออกมาเป็นซิงเกิ้ล

Tom Wilson เพิ่มความน่าสนใจในเพลงนี้โดยการนำเอาแทร็กเก่าที่เป็นแนว "acoustic classic" ทำออกมาใหม่ให้เป็นร็อคโดยใช้ดนตรีน้อยชิ้น ช่วงเวลานั้นเขากำลังทำเพลง “Like a Rolling Stone” ให้กับ Bob Dylan เขาจึงใช้นักดนตรีชุดนี้มาช่วยงานนี้เป็นงานแถม

Tom Wilsonโปรดิวเซอร์มือดีของค่ายColumbia Records

ทอมใส่เสียงกลอง และกีต้าร์ไฟฟ้าเพิ่มเข้ามาในแทร็กเดิม โดยที่ไม่ได้แจ้งให้ Simon & Garfunkel ทราบ ปรากฏว่าซิงเกิ้ลขายดีมากอย่างไม่น่าเชื่อ เพลงขึ้นถึงอันดับ 1 วันนี้ (1 มกราคม) ในปี 1966

จากความสำเร็จของเพลง "The Sound of Silence" ทำให้ทั้งคู่กลับมารวมตัวกันใหม่ เพื่อมาทำอัลบั้มชุดที่ 2 โดยใช้ชื่ออัลบั้มว่า “Sounds of Silence” ซึ่งมีเพลง "The Sound of Silence" เวอร์ชั่นซิงเกิ้ลนี้อยู่ด้วย

เพลง “The Sound of Silence” เวอร์ชั่นนี้ที่ Mike Nichols ผู้กำกับภาพยนต์ The Graduate (พิษรักแรงสวาท) หยิบมาฟังทุกเช้า และเลือกมาใช้ในภาพยนต์เป็นเพลงแรกตอนต้นเรื่อง และตอนจบที่พระเอกกับแฟนสาวในชุดเจ้าสาวนั่งอยู่ท้ายรถเมล์หลังเหตุการณ์ชุลมุนในงานแต่งงานของเจ้าสาว

ส่วนอีกเวอร์ชั่นของเพลงนี้ จะเป็นแนวกีต้าร์ acoustic ซึ่งบันทึกต่างหาก เพื่อใช้ในภาพยนต์เรื่องนี้ (คนละเวอร์ชั่นกับในอัลบั้มแรกของทั้งคู่ในปี 1964)

ท้ายสุดมาพูดถึงเพลงนี้กันดีกว่าว่า Paul Simon ต้องการสื่อถึงอะไร

“Whatever came out, I didn’t sit down to write about alienation in America. I’m not saying the song isn’t about that, but it wasn’t my intention, and that’s still true of my writing today. I don’t ever set out to write a song about something, though after a while it becomes apparent in the construction of a song that I’m writing about something. Then I have a choice. Do I want to stay with that subject or shut it down?”

"ไม่ว่าจะออกมาเป็นอย่างไร ผมไม่ได้นั่งเขียนเพลงนี้เพื่อพูดถึงความแปลกแยกในอเมริกานะ ผมไม่ได้กำลังจะบอกว่าเพลงไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องนั้น แต่ไม่ใช่ความตั้งใจของผมต่างหาก และนั่นยังคงเป็นความจริงกับการเขียนเพลงของผม ณ.วันนี้ ผมไม่ได้ตั้งโจทย์เพื่อเขียนเพลงเกี่ยวกับบางอย่าง แม้ว่าหลังจากนั้นไม่นานเค้าโครงของเพลงที่ผมเขียนก็ดูเหมือนจะพูดถึงบางอย่างก็ตาม ผมเลยจำเป็นต้องเลือก จะยังคงพูดถึงประเด็นนี้ต่อ หรือปิดปากเงียบไปเลย"

ดูเหมือน Paul Simon เลือกไปแล้ว..เรื่องถึงไม่ยอมจบไม่ยอมเงียบเสียที..

วี welove / 1 January 2023

FB Page: @welovechannel.info

Line ID: @welove

www.welovechannel.info

9