วี welove
3 ก.ย. 20222 นาที
อัพเดตเมื่อ: 18 ก.ย. 2023
พูดถึงวง Wild Cherry แทบทุกคนคิดถึงเพลง 'Play That Funky Music' เพลงดังเพลงเดียวของวงฮาร์ดร็อคจากโอไฮโอ (อ่านไม่ผิดหรอกครับ เป็นวงฮาร์ดร็อคจริงๆก่อนจะดัง) วงที่ยอมทำตามกระแสของ disco ในที่สุด ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น..ไปติดตามอ่านกัน พร้อมกับฟังเรื่องราวของวงและที่มาของเพลงผ่านเนื้อร้อง
ก่อนปี 1976 วง Wild Cherry เป็นวงฮาร์ดร็อคเล่นเพลงแนวคัฟเวอร์ในคลับที่กลุ่มคนฟังเพลงเป็นคนผิวสี ลูกค้าของคลับลดลงจนน่าตกใจ เพราะกระแสดิสโก้มาแรง ถ้าที่ไหนไม่มีเพลงเต้นยอดจองโต๊ะย่อมหดหายเป็นธรรมดา ในที่สุดทางวงก็จำเป็นต้องปรับตัวตามกระแส
ในระหว่างที่พวกเขากำลังระดมสมองความคิดด้วยความสิ้นหวัง ก็มีเสียงตะโกนแต่ไกลจากคนฟังในช่วงพักเบรคว่า ““Are you white boys gonna play some funky music?” (พวกคุณผิวขาวเล่นเพลงแนวฟังกี้ได้ไหม) คำพูดนี้สะกิดใจนักร้องนำ Rob Parissi เขารีบจดคำทั้งหมดนี้ด้วยปากกาและใบสั่งเครื่องดื่มที่ยืมจากบาร์เทนเดอร์
และเพลงที่เขียนขึ้นมา Rob Parissi อิงจากเรื่องจริงเล่าเรื่องความเป็นมาของวง พูดถึงที่มาของเพลงซึ่งเกิดจากเสียงตะโกนในค่ำคืนนั้น และทางวงก็ไม่รีรอทำตามเสียงเรียกร้องด้วยการขึ้นต้นท่อนฮุคร้องว่า "Hey, do it now" ต่อจากเสียงอินโทรริฟฟ์กีต้าร์อันหนักแน่นชวนออกมาเต้นกลางฟลอร์
เราลองไปศึกษาเนื้อเพลงในแต่ละท่อนว่าพวกเขาพยายามจะสื่อความหมายอะไรบ้าง เริ่มจากเนื้อท่อนเปิดพวกเขาจะพูดถึงเส้นทางของวงดังนี้
Hey, once I was a boogie singer
Playin’ in a rock-and-roll band
I never had no problems
Burnin’ down the one-night stands
เฮ้ ครั้งหนึ่งฉันเคยเป็นนักร้องบูกี้
ร้องเล่นอยู่ในวงร็อคแอนด์โรล
ฉันไม่เคยมีปัญหาอะไรทั้งสิ้น
เนื้อเพลงท่อนเปิดพูดถึงช่วงแรกๆที่วงเล่นเพลงคัฟเวอร์ จะมีกลุ่มคนฟังไม่มากนัก แต่วงก็อยู่ได้ แต่ประเด็นอยู่ที่ว่าทำอย่างไรจะให้ลูกค้ายังคงมาที่คลับเหมือนเดิม เนื้อเพลงท่อนที่ 2 จึงเป็นดังนี้
And everything around me
Got to start to feelin’ so low
And I decided quickly
Yes, I did
To disco down and check out the show
แล้วทุกสิ่งรอบๆตัวฉัน
ก็เริ่มดูแย่ลง
ฉันจึงตัดสินใจอย่างรวดเร็ว
ใช่ฉันทำอย่างนั้น
ไปสู่ดิสโก้และทำการแสดง
เนื้อร้องท่อนนี้สื่อว่า เพลงแนวฮาร์ดร็อคขายไม่ออก แต่โรคคลั่งดิสโก้กำลังระบาด ทางออกของวงจึงมี 2 ทางคือจะยอมแพ้ หรือไปต่อ แน่นอนว่าทางวงเลือกไปต่อ และเข้าสู่โลกดิสโก้เต็มตัว ตามเสียงเรียกร้องในค่ำคืนนั้น
Yeah they were dancin’ and singin’
And movin’ to the groovin’
And just when it hit me
Somebody turned around and shouted
ใช่แล้ว พวกเขากำลังเต้นและร้องเพลง
และเคลื่อนไหวไปตามจังหวะท่าเต้น
และตอนที่มันสะกิดใจฉัน
คือตอนที่ใครบางคนหันกลับมาแล้วตะโกนว่า
“Play that funky music, white boy
Play that funky music right
Play that funky music, white boy
Lay down that boogie
And play that funky music ’til you die.”
เล่นเพลงฟังกี้เลย พวกคนขาว
วางเพลงบูกี้ลง
แล้วเล่นเพลงฟังกี้จนตัวตาย
เนื้อท่อนต่อจากนี้ นักร้องบอกว่าการตัดสินใจเปลี่ยนแนวดนตรีของวงเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายนัก เพราะพวกเขาไม่เห็นด้วยมาตั้งแต่แรก แต่เมื่อเห็นอิทธิพลของดิสโก้ที่มีต่อคนฟัง การเปลี่ยนแปลงจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้อีกต่อไป
Now first it wasn’t easy
Changing rock-and-rolling minds
And things were gettin’ shaky
I thought I’d have to leave it behind
ไม่ง่ายเลยในครั้งแรก
กับการเปลี่ยนแนวร็อคแอนด์โรลในใจ
และทุกอย่างก็ถูกสั่นครอน
จนฉันต้องทิ้งมันไว้ข้างหลัง
ทันทีที่พวกเขาค้นพบแนวเพลงดิสโก้ของตัวเอง ความสำเร็จก็ตามมาทันที เนื้อเพลงต่อจากนี้จึงเป็นการปิดท้ายบ่งบอกผลที่ตามมาในทางที่ดีที่เกิดขึ้นกับวง
Oh, but now it’s so much better (it’s so much better)
I’m funking out in every way
But I’ll never lose that feelin’ (you know, I won’t)
Of how I learned my lesson that day
โอ้ แต่ตอนนี้มันดีขึ้นมาก
ฉันสนุกไปหมดทุกทาง
แต่ฉันไม่เคยสูญเสียความรู้สึกนั้น
ว่าวันนั้นฉันได้เรียนรู้บทเรียนของฉันอย่างไร
เพลง “Play That Funky Music” ของวง Wild Cherry จากอัลบั้ม "Wild Cherry" ในปี 1976 ได้รับความนิยมอย่างมากมาย ขึ้นถึงอันดับ 1 บนชาร์ตบิลบอร์ดทั้งสายป๊อบและสาย R&B อีกทั้งยังถูกเลือกให้เป็น "Best Pop Group of the Year" ของบิลบอร์ดอีกด้วย
นอกจากนี้วง Wild Cherry ยังได้รับรางวัลอีกมากมาย อาทิเช่น "Top R&B Single of the Year", "Best New Vocal Group" และแน่นอนว่าทั้งเพลงทั้งอัลบั้มยังได้รับการรับรองยอดขายในระดับแพลตตินั่ม ทำให้พวกเขาโด่งดังไปทั่วโลกเพียงชั่วข้ามคืน
แต่หลังจากความสำเร็จในครั้งนั้น พวกเขาก็ไม่ได้เจออะไรแบบนั้นอีกเลย เพลง "Play That Funky Music" จึงกลายเป็นเพลงฮิตเพลงเดียวของวง ส่วนอัลบั้มที่ตามมาหลังจากนั้นอย่างอัลบั้ม Electrified Funk ในปี 1977, อัลบั้ม I Love My Music ในปี 1978 และอัลบั้ม Only the Wild Survive ในปี 1979 ต่างก็ขายไม่ออก ซิงเกิ้ลที่ปล่อยออกมาก็ไม่ติดอันดับ สุดท้ายพวกเขาก็ต้องเลิกรากันไป และกลายเป็นอีกหนึ่งวงที่เป็นเจ้าของเพลงดังเพลงเดียวที่ควรแก่การจดจำ "One Hit Wonder"
ขอบคุณข้อมูลจาก americansongwriter.com
วี welove/3 September 2022
ติดตามทางเพจ Facebook
ติดตามทาง Line
ติดตามทางเว็บไซต์ welovechannel.info