วี welove

12 พ.ค. 20232 นาที

No Woman, No Cry แท้จริงแล้วหมายถึงอะไรกันแน่? และเบื้องหลังของเพลงนี้

อัพเดตเมื่อ: 22 มิ.ย. 2023

Bob Marley ราชาเร็กเก้ ศิลปินนักร้อง นักดนตรี นักแต่งเพลงชาวจาไมก้า จากโลกนี้ไปครบ 42 ปีแล้ว เขาเสียชีวิตเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคมในปี 1981 ด้วยวัยเพียง 36 ปี สาเหตุของการเสียชีวิตเริ่มจากโรคมะเร็งผิวหนังใต้นิ้วเท้า ที่เขาตรวจเจอในปี 1977 และทุกอย่างดูแย่ลงเรื่อยๆเมื่อมะเร็งแพร่กระจายไปทั่วร่างกายของเขา

Bob Marley ถือเป็นหนึ่งในศิลปินผู้บุกเบิกเพลงแนวเร็กเก้ มีเสียงร้องที่โดดเด่นและมีสไตล์การแต่งเพลงเฉพาะตัว เขาทำให้คนทั้งโลกได้รู้จักแนวเพลงเร็กเก้ เป็นตัวแทนวัฒนธรรมให้คนทั้งโลกได้รู้จักเพลงของจาไมก้า

เพื่อเป็นการรำลึกถึงศิลปินท่านนี้ ผมจึงหยิบเพลง "No Woman, No Cry" ผลงานที่เป็นตราประทับของเขามาให้พวกเราได้อ่านกัน มีคำถามมากมายเกี่ยวกับเพลงนี้อาทิเช่น คนแต่งไม่ใช่ Bob Marley จริงหรือ? ความหมายของเพลงตรงปกหรือไม่? วันนี้ผมมีคำตอบให้ครับ..

เพลง "No Woman, No Cry" เป็นเพลงจากอัลบั้ม "Natty Dread" ของ Bob Marley ที่ออกมาในปี 1974 แต่ไม่ใช่เวอร์ชั่นเพลงฮิตที่เราคุ้นหู เพราะจังหวะเพลงจะเร็วกว่า และความยาวเพลงสั้นกว่า และไม่ได้ถูกตัดออกมาเป็นซิงเกิ้ล (คลิกฟังเวอร์ชั่นในอัลบั้มปี 1974)

ซิงเกิ้ลเพลงฮิตเป็นเวอร์ชั่นแสดงสด

เวอร์ชั่นฮิตของเพลงนี้เป็นเวอร์ชั่นแสดงสดตัดออกมาเป็นซิงเกิ้ลจากอัลบั้ม "Live!" ที่ออกมาในปี 1975 กลายเป็นเพลงฮิตเพลงแรกของ Bob Marley และไม่ต้องสงสัยเลยว่าจะไปปรากฏอยู่ในอัลบั้มรวมเพลงอีกหลายอัลบั้ม รวมถึงอัลบั้ม "Legend" ของเขาที่ออกมาในปี 1984 (3 ปีหลังการเสียชีวิต) อัลบั้มอันดับ 1 ในอังกฤษ (UK) ซึ่งกลายเป็นอัลบั้มประวัติศาสตร์ ขายได้มากกว่า 20 ล้านชุดมากกว่าอัลบั้มเพลงเร็กเก้ใดๆบนโลกใบนี้

เวอร์ชั่นแสดงสดได้มาจากการบันทึกช่วงที่ออกทัวร์คอนเสิร์ตโปรโมทอัลบั้ม "Natty Dread" โดยเป็นการแสดงในวันที่ 17 กรกฏาคม ปี 1975 ที่ Lyceum Theatre ในกรุงลอนดอน ว่ากันว่าการแสดงในวันนั้นช่างเร้าใจ มีชีวิตชีวา สร้างความประทับใจให้กับผู้เข้าชม แม้ว่าอากาศในวันนั้นจะร้อนก็ตาม จนกลายเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของ Bob Marley and The Wailers ทำให้พวกเขาโด่งดังมาจนถึงทุกวันนี้

Bob Marley and The Wailers

แม้ในตอนนั้นเพลงนี้จะขึ้นถึงแค่อันดับ 22 แต่หลังการเสียชีวิตของ Bob Marley ในปี 1981เพลงนี้กลับเข้ามาในตารางอันดับในอังกฤษอีกครั้งด้วยอันดับสูงที่อันดับ 8 ส่วนในอเมริกาแม้จะไม่ติดอันดับที่นั่น แต่นิตยสาร Rolling Stone ก็จัดอันดับให้เพลงนี้เป็นเพลงยอดเยี่ยมตลอดกาลที่อันดับ 37

เปลี่ยนเร็กเก้ให้ฟังง่าย

ก่อนการออกทัวร์ในครั้งนั้นและในอเมริกา การแสดงของพวกเขาที่ผ่านมาไม่ได้รับสนใจจากโลกภายนอก เนื่องจาก Bob Marley และวงของเขาเล่นเพลงเร็กเก้แบบดั้งเดิมซึ่งได้รับความนิยมเฉพาะในจาไมก้า จนเมื่อเขาได้ขัดเกลาและปรับเสียงเพลงให้กระชับ สไตล์เพลงฟังดูหวานขึ้นโดยใช้มือกีต้าร์อย่าง Al Anderson และ Aston Barrett มือเบสมาร่วมวง รวมถึงการแสดงบนเวทีดูมีชีวิตชีวา จนสามารถแข่งขันกับตลาดคอนเสิร์ตอื่นๆที่เป็นที่นิยมในยุคนั้น (คลิปด้านล่าง ไม่ใช่การแสดงที่ Lyceum Theatre แต่ได้อารมณ์ใกล้เคียงกัน)

ผลที่ได้เป็นที่น่าพอใจ การพูดถึงคอนเสิร์ตของ Bob Marley and The Wailers แบบปากต่อปากทำให้การขายบัตรสำหรับคอนเสิร์ตของพวกเขาในอเมริกาเป็นที่น่าพอใจเป็นอย่างมาก และเมื่อพวกเขาได้มาแสดงที่ Lyceum Theatre ในกรุงลอนดอนในวันนั้น มันจึงกลายเป็นคอนเสิร์ตที่ประสบความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่ของ Bob Marley อย่างแท้จริง พิสูจน์ได้จากเพลง "No Woman, No Cry" ที่โด่งดังไปทั่วโลก

ไม่แปลกที่กลายเป็นเพลงประทับตราของ Bob Marley

ภาพคอนเสิร์ตในครั้งนั้นเป็นที่ประทับใจของผู้เข้าชมที่มีทั้งผิวขาวและผิวสีในจำนวนพอๆกัน พวกเขาต่างร่วมร้องเพลงนี้ เพลงที่ร้องตามช่วงท่อนฮุคได้อย่างกลมกลืน เป็นการผสมผสานอย่างลงตัว ทำให้ Bob Marley เป็นหนึ่งในศิลปินเพียงไม่กี่คนที่สามารถดึงดูดมวลชนโดยก้าวข้ามความแตกต่างทางเชื้อชาติได้อย่างง่ายดาย จึงไม่น่าแปลกใจที่เพลง "No Woman, No Cry" จะเป็นไฮไลต์ของคอนเสิร์ตในค่ำคืนนั้น


ความหมายของเพลงและชื่อเพลง

ความหมายของเพลงนี้ สามารถสรุปได้จากชื่อเพลงซึ่งเป็นท่อนฮุค เพลงพูดถึงความเห็นอกเห็นใจในช่วงเวลาที่ยากลำบาก แต่ก็ยังมีคนคอยอยู่เคียงข้าง

แต่แค่ชื่อเพลง หลายคนก็ตีความหมายนี้ผิด กล่าวคือเข้าใจว่า "ถ้าไม่มีผู้หญิง ก็ไม่มีเหตุผลที่จะร้องให้" (No woman, No cry) และเมื่อเราย้อนไปหาคำร้องดั้งเดิมของเพลงนี้ที่ร้องว่า "No, Woman, Nuh cry" เราถึงรู้ว่าความหมายที่เข้าใจมาตลอดนั้นไม่ถูกต้อง เพราะคำว่า "Nuh" ในภาษาจาไมก้าหมายถึง "don't" (ไม่) ดังนั้นความหมายของเพลงนี้จึงหมายถึง "No, Woman, Don't cry" (ไม่นะ ผู้หญิง อย่าร้องให้)

ส่วนความหมายของเพลง ได้รับการอธิบายจาก Aston "Family Man" Barrett มือเบสของวง The Wailers ที่เล่นเพลงนี้เองว่า "เพลงพูดถึงพลังของผู้เป็นแม่อย่างแท้จริง พลังของสตรีเพศ และพวกเรารักผูหญิงที่มีความกล้า ดูเหมือนบอบบาง แต่พวกเธอเป็นราชสีห์ เป็นผู้หญิงแกร่งที่ไม่ได้ขึ้นอยู่กับผู้ชาย คุณก็รู้นี่ แน่นอนว่าผู้ชายอยู่ตรงนั้นเพื่อช่วยเธอ และผู้ชายที่ประสบความสำเร็จทุกคนย่อมมีผู้หญิงดีๆเคียงข้างเสมอ"

"The song is about the strength in the mama of course, strength in the ladies. And we love a woman with a backbone." - Aston Barrett มือเบสวง The Wailers

ใครเป็นคนแต่งเพลงกันแน่

ใครๆก็เชื่อว่า Bob Marley เป็นคนแต่งเพลงนี้อย่างแน่นอน เนื่องจากเนื้อหาค่อนข้างเป็นส่วนตัว และพูดถึงชุมชนที่เขาเคยอยู่ และพูดถึง Georgie ที่ทำโจ็กข้าวโพดอาหารจานโปรดของ Bob Marley ปรากฏอยู่ในเพลง หรือแม้แต่เมโลดี้ของเพลงก็ทำให้เข้าใจว่าอย่างนั้น

"I remember when we used to sit

In the government yard in Trenchtown

And then Georgie would make the fire lights

As it was log wood burnin' through the night

Then we would cook cornmeal porridge

Of which I'll share with you"

Vincent Ford กับ Bob Marley

แต่เครดิตชื่อคนเขียนเพลงนี้กลับเป็นชื่อของ "Vincent Ford" เพื่อนของมาร์เลย์ที่ดูแลครัวซุปในย่าน Trenchtown ชุมชนของเมือง Kingston จาไมก้า ที่ๆมาร์เลย์เติบโตและใช้ชีวิตวนเวียนอยู่แถวนั้นในช่วงปลายยุค 50s ตอนนั้นมาร์เลย์ยากจนมากๆ ก็มีเพื่อนคนนี้ที่ส่งอาหารให้เขาได้ทานอิ่มทุกมื้อ และนี่เป็นเหตุผลที่ Bob Marley ต้องการตอบแทนเพื่อนคนนี้ และมั่นใจว่าเขาจะมีกินตลอดไป

กลับกลายเป็นดี

นอกจากเพลง "No Woman No Cry" แล้ว ยังมี "Rastman Vibration" อีกเพลงที่มาร์เลย์ยกเครดิตคนเขียนเพลงนี้ให้กับเพื่อนคนนี้ อย่างไรก็ตามในเวลาต่อมา เขาได้ใช้วิธีเดียวกันนี้ให้เครดิตกับเพื่อน ครอบครัว และสมาชิกวงในการแต่งเพลง เพื่อแก้ปัญหาเกี่ยวกับความยุ่งยากในสัญญาที่ทำให้เขาเก็บค่าลิขสิทธิ์ของตัวเองได้ค่อนข้างยากลำบาก อีกทั้งในขณะนั้นมาร์เลย์ก็มีข้อพิพาททางสัญญากับ Cayman Music ต้นสังกัดเดิมของเขาด้วย เพลงใหม่ที่แต่งขึ้นจึงเครดิตเป็นชื่อคนอื่นทั้งหมด

แต่สุดท้ายกลับกลายเป็นผลดีที่ประเมินค่ามิได้ เมื่อเขาต้องจากไปอย่างกระทันหันด้วยโรคมะเร็ง เพราะผลประโยชน์ทั้งหมดได้ไปตกอยู่กับเพื่อนๆ และครอบครัวอันเป็นที่รักแทนที่จะไปเป็นของค่ายเพลงที่คอยจ้องเอาเปรียบศิลปิน(จนเป็นนิสัย)

เรื่องราวทั้งหมดนี้ จะว่าไปแล้วน้อยศิลปินที่จะทำได้อย่างเขา เป็นเจ้าของเพลงที่ตัวเองไม่ได้เป็นเจ้าของตามกฏหมาย และสร้างรายได้ให้กับผู้มีพระคุณกับเพลง "No Woman, No Cry" อีกทั้งเพื่อนๆและครอบครัวอย่างไม่รู้จบ อ่านเรื่องราวทั้งหมดนี้แล้ว ใครล่ะจะลืมเขาได้ลง เก็บชื่อนี้ไว้เป็นตำนานตลอดไปครับ "Bob Marley"

วี welove / 11 May 2023

ติดตามทางเพจ Facebook

ติดตามทาง Line

ติดตามทางเว็บไซต์ welovechannel.info

    13